รัฐบาลสหราชอาณาจักรเดินหน้าเสนอชดเชยเหยื่อจีนกว่า 1.3 แสนรายจากคดีโกงลงทุน ขณะเดียวกันยังกันเหรียญบิทคอยน์ที่ยึดได้กว่า 5 พันล้านปอนด์ไว้ในมือรัฐ ขณะที่ราคาบิทคอยน์พุ่งกว่า 4 เท่านับจากปี 2561 กลายเป็นศึกผลประโยชน์ระหว่าง “เหยื่อ” และ “รัฐบาลผู้ยึดทรัพย์” ที่ทั่วโลกจับตา
ยึดของกลางมูลค่า 7.2 พันล้านดอลลาร์ คดีโกงลงทุนใหญ่สุดในประวัติศาสตร์อังกฤษ
รัฐบาลอังกฤษเปิดเผยข้อเสนอการชดเชยเหยื่อคดีฉ้อโกงการลงทุนจากจีน ขณะเดียวกันเตรียมเก็บทรัพย์สินคริปโตส่วนใหญ่จากการยึดบิตคอยน์มูลค่ากว่า 5 พันล้านปอนด์ (7.2 พันล้านดอลลาร์) ที่ตำรวจยึดได้ในปี 2561 จากคดีหลอกลงทุนซับซ้อนระดับนานาชาติ
ระหว่างการพิจารณาที่ศาลสูงลอนดอนเมื่อวันพุธระบุว่า อัยการสูงสุดอังกฤษแจ้งต่อทนายเหยื่อว่า รัฐบาลกำลังพิจารณาตั้ง “โครงการชดเชย” แม้ยังไม่เปิดเผยรายละเอียด โดยศูนย์กลางของคดีนี้คือบิทคอยน์กว่า 61,000 BTC มูลค่าปัจจุบันราว 6.7 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งถูกยึดจากแมนชั่นหรูในย่านแฮมป์สเตด ทางเหนือของลอนดอน ถือเป็นการยึดสินทรัพย์ดิจิทัลครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์อังกฤษ
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายเหยื่อกว่า 130,000 รายจากจีน กำลังโต้แย้งว่า รัฐอังกฤษไม่ควรได้ประโยชน์จากความสูญเสียของพวกเขา
เบื้องหลัง “หยาตี้ จาง” ตัวแม่แห่งอาชญากรรมการลงทุนจีน
จื่อหมิน เชียน หรือชื่อปลอมว่า หยาตี้ จาง หญิงวัย 47 ปี คือผู้อยู่เบื้องหลังแผนฉ้อโกงที่หลอกนักลงทุนจีนระหว่างปี 2557 - 2560 เป็นเงินรวมกว่า 43,000 ล้านหยวน (6 พันล้านดอลลาร์) ก่อนหลบหนีมายังอังกฤษพร้อมเงินจำนวนมหาศาลที่ถูกแปลงเป็นบิทคอยน์
เธอและพรรคพวกชาวมาเลเซีย เช็ง ก๊ก ลิน เพิ่งรับสารภาพข้อหาฟอกเงินที่ศาล Southwark Crown Cour* เมื่อเดือนที่ผ่านมา และเตรียมรับโทษในเดือนพฤศจิกายนนี้
ตั้งแต่การยึดบิทคอยน์ในปี 2561 มูลค่าของเหรียญได้เพิ่มจาก 1.8 พันล้านดอลลาร์ เป็นกว่า 7.2 พันล้านดอลลาร์ ล่าสุดเจ้าหน้าที่อังกฤษสามารถเข้าถึงสินทรัพย์เพิ่มอีก 67 ล้านปอนด์ หลังจางยอมเปิดเผยรหัสกระเป๋าเงินและบัญชีคริปโตที่ซ่อนอยู่ในกางเกงวอร์มตอนถูกจับกุม
เสนอชดเชยเหยื่อ - แต่คดีโยงซับซ้อนสุดโต่ง
อัยการ มาร์ติน อีแวน เคซี ยืนยันต่อศาลว่า รัฐมีแผนสร้างกลไกชดเชยให้ผู้เสียหายอย่างเหมาะสม และจะดำเนินการคืนเงินให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แม้บางส่วนไม่ได้เข้าร่วมกระบวนการทางกฎหมายในอังกฤษ
แต่ฝ่ายทนายความเหยื่อชี้ว่า การพิสูจน์ความเชื่อมโยงระหว่างเงินลงทุนของแต่ละรายกับบิทคอยน์ที่ยึดมาเป็นเรื่องซับซ้อนมาก โดยแจ๊ค ติง จากสำนักงาน Duan & Duan ซึ่งดูแลเหยื่อกว่า 10,000 ราย กล่าวว่า หลักฐานบางส่วนยังไม่เพียงพอที่จะชี้ชัดถึงเส้นทางเงินโดยตรง
ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายเตือนว่า แม้คดีนี้จะชนะ รัฐบาลก็มักคืนเฉพาะ “เงินต้นและดอกเบี้ยสมเหตุสมผล” ไม่ใช่มูลค่าที่เพิ่มขึ้นจากราคาบิตคอยน์ ซึ่งพุ่งขึ้นกว่า 4 เท่านับจากปีที่ยึดทรัพย์
ผลทางเศรษฐกิจและการเมือง “บิทคอยน์ของรัฐ” จุดไฟดีเบตในลอนดอน
กองทรัพย์สินบิทคอยน์นี้ได้จุดความสนใจจากกระทรวงการคลังอังกฤษอย่างร้อนแรง แหล่งข่าวบางรายเผยว่า เจ้าหน้าที่บางคนมองว่าสินทรัพย์ดังกล่าวอาจช่วย โดยราเชล รีฟ รมว.คลังปิดช่องว่างงบประมาณที่คาดว่าจะสูงถึง 30 พันล้านปอนด์ภายในปี 2572
แต่ฝ่ายที่ระมัดระวังเตือนว่า การนำสินทรัพย์ที่ยังอยู่ในคดีมาใช้ประโยชน์ทางการคลังเป็นไปไม่ได้ เนื่องจากสำนักงานความรับผิดชอบด้านงบประมาณ (OBR) ไม่สามารถนับรวมสินทรัพย์ยึดในประมาณการรายได้รัฐได้
ขณะเดียวกัน หน่วยงานรัฐยังต้องเผชิญความท้าทายทางเทคนิคในการขายบิทคอยน์จำนวนมหาศาลโดยไม่ทำให้ตลาดคริปโตผันผวน ซึ่งหากบริหารผิดพลาดอาจส่งผลกระทบเชิงระบบต่อราคาคริปโตทั่วโลก
สัญญาณเตือนต่อการกำกับดูแลสินทรัพย์ดิจิทัลโลก
คดีนี้ได้กลายเป็นเวทีถกเถียงระดับโลกว่ารัฐบาลควรจัดการกับสินทรัพย์ดิจิทัลที่ยึดได้อย่างไร ทั้งในด้านกฎหมาย เศรษฐกิจ และจริยธรรม โดยเฉพาะในยุคที่ “มูลค่าของเหรียญ” เติบโตเร็วกว่ากระบวนการยุติธรรม
การพิจารณาคดีริบทรัพย์ในเดือนกันยายน 2567 จะเป็นตัวชี้ขาดว่าเงินบิทคอยน์เหล่านี้จะไปอยู่ในมือใคร โดยศาลคาดว่าจะใช้เวลาถึง มกราคม 2569 ในการตัดสิน ซึ่งผลลัพธ์อาจสร้างบรรทัดฐานใหม่ให้กับการร่วมมือระหว่างประเทศในการจัดการคดีฟอกเงินผ่านคริปโต
นอกจากนี้ ยังสะท้อนปัญหาความซับซ้อนของเหยื่อที่ส่วนใหญ่ไม่มีความรู้ด้านสินทรัพย์ดิจิทัล ทำให้การตรวจสอบสิทธิ์และเอกสารยืนยันเป็นเรื่องยากยิ่งโดยคดีนี้จึงไม่ได้เป็นเพียงคดีฉ้อโกง แต่เป็น “บททดสอบ” ของระบบยุติธรรมการเงินโลกในยุคบิทคอยน์