xs
xsm
sm
md
lg

Krungthai GLOBAL MARKETS เผยค่าบาทเปิดที่ 32.54-ทรงตัว-ติดตามถ้อยแถลงเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางหลัก-ราคาทอง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้(16ต.ค.68) ที่ระดับ 32.54 บาทต่อดอลลาร์ “ทรงตัว ไม่เปลี่ยนแปลง”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา และมองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.40-32.70 บาท/ดอลลาร์ โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) เคลื่อนไหวในกรอบ Sideways เหนือโซนแนวรับ 32.50 บาทต่อดอลลาร์ (แกว่งตัวในกรอบ 32.50-32.62 บาทต่อดอลลาร์) แม้จะเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าบ้าง ตามการรีบาวด์ขึ้นของเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ที่มีส่วนกดดันให้ราคาทองคำย่อตัวลง (ร่วมกับแรงขายทำกำไรทองคำ) ทว่า การอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ก็ถูกชะลอลง หลังเงินดอลลาร์พลิกกลับมาอ่อนค่าลงตาม ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด และรายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจจากบรรดาเฟดสาขาต่างๆ (Fed Beige Book) ที่สะท้อนว่า เฟดยังมีแนวโน้มเดินหน้าลดดอกเบี้ยเพิ่มเติม ท่ามกลางการชะลอตัวลงที่ชัดเจนขึ้นของตลาดแรงงานสหรัฐฯ ส่วนเจ้าหน้าที่เฟดบางส่วน อาทิ Stephen Miran ก็มองว่า ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับ จีน อาจเป็นตัวแปรที่เร่งการลดดอกเบี้ยของเฟดได้

นอกจากนี้ มุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ต่างเชื่อมั่นต่อแนวโน้มการเดินหน้าลดดอกเบี้ยของเฟด ท่ามกลางความไม่แน่นอนของสถานการณ์ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับ จีน ยังได้หนุนการรีบาวด์ขึ้นของราคาทองคำ (XAUUSD) สู่โซน 4,200 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และเป็นอีกปัจจัยที่ช่วยหนุนการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทในช่วงคืนที่ผ่านมา

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางหลัก ทั้ง เฟด ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) และธนาคารกลางยุโรป (ECB) เพื่อประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของบรรดาธนาคารกลางหลักดังกล่าว

ส่วนในฝั่งสหรัฐฯ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานดัชนีภาวะภาคธุรกิจ ทั้งในฝั่งภาคการผลิตอุตสาหกรรมและภาคการบริการ จากเฟดสาขาฟิลาเดลเฟีย

ทางฝั่งยุโรป ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจอังกฤษ ผ่านรายงานอัตราการเติบโตเศรษฐกิจรายเดือนและรายงานยอดผลผลิตอุตสาหกรรม (Industrial Production) ในเดือนสิงหาคม
และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน รวมถึง รายงานยอดสต็อกน้ำมันของสหรัฐฯ ที่อาจส่งผลกระทบต่อทิศทางราคาน้ำมันดิบในระยะสั้นได้ พร้อมรอติดตาม พัฒนาการของสถานการณ์การเมืองสหรัฐฯ หลังเข้าสู่ภาวะ Government Shutdown รวมถึงสถานการณ์การเมืองฝรั่งเศสและญี่ปุ่น

สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท แม้เราจะคงมุมมองเดิมว่า เงินบาทยังมีความเสี่ยงอ่อนค่าลงบ้าง แต่เรายอมรับว่า โมเมนตัมของเงินบาทได้อ่อนค่าลงมากขึ้น หลังเงินดอลลาร์เผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าเพิ่มเติมตั้งแต่ตลาดกลับมากังวลประเด็นความเสี่ยงสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ล่าสุด ขณะเดียวกันประเด็นดังกล่าว ก็ได้หนุนให้ ราคาทองคำยังคงปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง ทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ อย่างไรก็ดี เรามองว่า เงินบาทอาจยังอยู่ในแนวโน้มอ่อนค่าได้ จนกว่าเงินบาทจะสามารถพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นทะลุโซนแนวรับ 32.40-32.50 บาทต่อดอลลาร์ ได้อย่างชัดเจน เมื่อประเมินจากกลยุทธ์ Trend-Following โดยหากเงินบาทสามารถอ่อนค่าลงต่อได้ ก็อาจเผชิญแนวต้านแถวโซน 32.80-32.85 บาทต่อดอลลาร์ และจะมีโซน 33.00 บาทต่อดอลลาร์ เป็นแนวต้านสำคัญถัดไป ที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด แต่หากเงินบาทพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นชัดเจน ก็จะมีโซนแนวรับในช่วง 32.30 บาทต่อดอลลาร์ และโซน 32.00 บาทต่อดอลลาร์ เป็นแนวรับสำคัญถัดไป

อย่างไรก็ดี เรายังคงมีความกังวลว่า หากราคาทองคำปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง เร็ว แรง ในช่วงระยะสั้น ก็จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการปรับฐานหนักในช่วงนี้ได้ โดยการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำล่าสุด ได้เข้าสู่ Danger Zone (ราคาปรับตัวขึ้นเกิน +28% จากเส้นค่าเฉลี่ยระยะยาว ซึ่งเราใช้เส้นค่าเฉลี่ย 200 วัน) ที่หากอ้างอิงสถิติในอดีต เราพบว่า ราคาทองคำจะเข้าสู่ช่วงการปรับฐานได้ทุกครั้ง (100%) โดยหากราคาทองคำปรับตัวลงและเข้าสู่ช่วงการปรับฐาน ก็อาจเป็นปัจจัยที่กดดันเงินบาทให้อ่อนค่าลงได้ไม่ยาก ซึ่งเงินบาทมีความอ่อนไหว (Beta/Sensitivity) กับการปรับตัวลงของราคาทองคำ ราว 0.2-0.3 ทำให้ หากราคาทองคำเข้าสู่การปรับฐานจริง อ้างอิงจากสถิติในอดีตที่เฉลี่ยจะย่อตัวลงราว -9% ในช่วง 1 เดือนข้างหน้า ก็อาจเป็นปัจจัยที่กดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงได้ราว -1.8% ถึง -2.7% เปิดโอกาสที่เงินบาทอาจสามารถอ่อนค่าลงเข้าใกล้โซน 33.00 บาทต่อดอลลาร์ ได้ (แต่ต้องอ่อนค่าผ่านโซนแนวต้าน 32.85 บาทต่อดอลลาร์ ให้สำเร็จก่อน)
กำลังโหลดความคิดเห็น