นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้(15ต.ค.68)ที่ระดับ 32.62 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้น”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 32.80 บาทต่อดอลลาร์ และมองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.50-32.80 บาท/ดอลลาร์ โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) พลิกกลับมาทยอยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง ทะลุโซนแนวรับ 32.65 บาทต่อดอลลาร์ หลังจากในช่วงบ่ายวันก่อนหน้า เงินบาทได้อ่อนค่ามากกว่าที่เราประเมินไว้เข้าใกล้โซนแนวต้าน 32.85 บาทต่อดอลลาร์ (แกว่งตัวในกรอบ 32.60-32.83 บาทต่อดอลลาร์) หลังผู้เล่นในตลาดต่างยังคงกังวลประเด็นความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับ จีน กดดันให้ เงินดอลลาร์พลิกกลับมาอ่อนค่าลง สอดคล้องกับการแข็งค่าขึ้นของสกุลเงินหลัก ที่ผู้เล่นในตลาดมักจะต้องการถือครองในช่วงตลาดผันผวน อย่าง เงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ที่กลับมาแข็งค่าทะลุโซน 152 เยนต่อดอลลาร์ อีกครั้ง
นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนของสถานการณ์ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ยังคงหนุนการรีบาวด์ขึ้นของราคาทองคำ (XAUUSD) เข้าใกล้โซน 4,170 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อีกครั้ง หลังจากเผชิญแรงขายทำกำไรรุนแรงในช่วงบ่ายของวันก่อน และนอกเหนือจากประเด็นความขัดแย้งทางการค้าของสหรัฐฯ ทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังเผชิญแรงกดดันเพิ่มเติมจากหลังผู้เล่นในตลาดตีความถ้อยแถลงของประธานเฟด Jerome Powell ล่าสุดว่า อาจเป็นการส่งสัญญาณว่า เฟดพร้อมเดินหน้าลดดอกเบี้ยเพิ่มเติม (ตลาดเพิ่มโอกาสเฟดลดดอกเบี้ยอีก 2 ครั้ง ในปีนี้ เป็น 94% และโอกาสลดดอกเบี้ย 3 ครั้ง ในปีหน้า เป็น 92%) และเฟดอาจเริ่มหยุดการปรับลดงบดุล (Quantitative Tightening, QT) ได้ในช่วงอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เราคงมุมมองเดิมว่า เงินบาทมีความเสี่ยงอ่อนค่าลงต่อ และจะยังอยู่ในแนวโน้มอ่อนค่า จนกว่าเงินบาทจะสามารถพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นทะลุโซนแนวรับ 32.40-32.50 บาทต่อดอลลาร์ ได้อย่างชัดเจน เมื่อประเมินจากกลยุทธ์ Trend-Following โดยหากเงินบาทสามารถอ่อนค่าลงต่อได้ ก็อาจเผชิญแนวต้านแถวโซน 32.80-32.85 บาทต่อดอลลาร์ และจะมีโซน 33.00 บาทต่อดอลลาร์ เป็นแนวต้านสำคัญถัดไป ที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด
อย่างไรก็ดี ท่ามกลางความไม่แน่นอนของสถานการณ์ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ก็อาจชะลอการอ่อนค่าลงของเงินบาท หรือ หนุนให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นได้บ้าง ผ่านแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าต่อเงินดอลลาร์ (ผู้เล่นในตลาดกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ มากขึ้นและมั่นใจว่า เฟดจะสามารถเดินหน้าลดดอกเบี้ยได้ตามคาด) ขณะเดียวกัน สินทรัพย์ปลอดภัย ทั้ง ทองคำและเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ก็มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นในช่วงนี้ จนกว่าตลาดจะคลายกังวลต่อประเด็นดังกล่าว ซึ่งนอกเหนือจากปัจจัยดังกล่าว ยังคงต้องรอลุ้น รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน โดยเฉพาะ รายงานผลประกอบการของบริษัทธีม AI/Semiconductor ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อบรรยากาศในตลาดการเงินได้อย่างมีนัยสำคัญ
ทั้งนี้ เรายังคงมีความกังวลว่า หากราคาทองคำปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง เร็ว แรง ในช่วงระยะสั้น ก็จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการปรับฐานหนักในช่วงนี้ได้ ดังจะเห็นได้จากช่วงเที่ยงของวันก่อนหน้า ที่ราคาทองคำเผชิญแรงขายทำกำไรอย่างต่อเนื่อง จนราคาลดลงถึง -100 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ในช่วงเวลา 1 ชั่วโมง และเป็นปัจจัยกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงเร็ว นอกเหนือจากการรีบาวด์ขึ้นของเงินดอลลาร์ในช่วงบ่ายวันก่อน (จากการอ่อนค่าลงของเงินปอนด์อังกฤษ หลังรายงานข้อมูลตลาดแรงงานอังกฤษล่าสุด ทำให้ผู้เล่นในตลาดเพิ่มโอกาส BOE ลดดอกเบี้ยอีก 1 ครั้ง ภายในปีนี้) โดยหากราคาทองคำปรับตัวลงและเข้าสู่ช่วงการปรับฐาน ก็อาจเป็นปัจจัยที่กดดันเงินบาทให้อ่อนค่าลงได้
ขณะเดียวกัน ความไม่แน่นอนของสถานการณ์ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ อาจกดดันบรรยากาศในตลาดการเงินเอเชีย และยิ่งกระตุ้นให้ บรรดานักลงทุนต่างชาติเดินหน้าขายสินทรัพย์ไทย อย่าง หุ้นไทย เพิ่มเติมได้ แม้ว่า ในช่วงเดือนตุลาคมนี้ นักลงทุนต่างชาติจะทยอยขายหุ้นไทยไปแล้วเกือบ -5 พันล้านบาทก็ตาม