ธปท. ชี้แจงจดหมายเปิดผนึกกรณีเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ย 12 เดือนอยู่ที่ 0.5% ต่ำกว่ากรอบ 1−3% สาเหตุหลักจากราคาพลังงานและอาหารสด ยืนยันเงินเฟ้อต่ำไม่ได้ส่งสัญญาณเงินฝืด และพร้อมใช้เครื่องมือนโยบายการเงินดูแลเศรษฐกิจ คาดเงินเฟ้อจะกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายได้ในไตรมาสที่ 1 ปี 2570
รายงานจากธนาคารแห่งประเทศไทยเผยแพร่ หนังสือชี้แจงการเคลื่อนไหวของอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ย 12 เดือนที่ผ่านมา และ 12 เดือนข้างหน้าต่ำกว่ากรอบล่างของกรอบเป้าหมายนโยบายการเงิน ลงวันที่ 29 ก.ย. 2568 โดยลงชื่อ นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยและประธานคณะกรรมการนโยบายการเงิน (ยังดำรงตำแหน่งอยู่ในขณะนั้น) ระบุว่า ตามที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังตกลงร่วมกัน เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2567 กำหนดให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในช่วง 1−3 % เป็นเป้าหมาย นโยบายการเงินด้านเสถียรภาพราคาสำหรับระยะปานกลาง และเป็นเป้าหมายสำหรับปี 2568 โดยระบุให้ กนง. มีจดหมายเปิดผนึกหากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ย 12 เดือนที่ผ่านมาหรือประมาณการอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ย 12 เดือนข้างหน้าเคลื่อนไหวออกนอกกรอบเป้าหมาย นั้น
เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2568 อัตราเงินเฟ้อทั่วไปของเดือนกรกฎาคม 2568 ที่เผยแพร่โดย กระทรวงพาณิชย์อยู่ที่ −0.7 % ทำให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ย 12 เดือนที่ผ่านมา (เดือนสิงหาคม 2567 ถึง เดือนกรกฎาคม 2568) อยู่ที่ 0.5 % ประกอบกับในรายงานนโยบายการเงินไตรมาสที่ 2 ปี 2568
กนง. ประเมินว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ย 12 เดือนข้างหน้า (เดือนสิงหาคม 2568 ถึงเดือนกรกฎาคม 2569) จะอยู่ต่ำกว่ากรอบล่างของกรอบเป้าหมายนโยบายการเงินในปัจจุบัน ดังนั้น กนง. จึงขอเรียนชี้แจงใน 3 ประเด็น ได้แก่ (1) เงินเฟ้อที่ต่ำ และนัยต่อเศรษฐกิจและเสถียรภาพด้านราคา (2) บทบาทของนโยบายการเงินในการดูแลเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงิน และ (3) แนวโน้มเงินเฟ้อในระยะข้างหน้าและระยะเวลาที่คาดว่าจะกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมาย โดยมีรายละเอียด ดังนี้
(1) เงินเฟ้อที่ต่ำ และนัยต่อเศรษฐกิจและเสถียรภาพด้านราคา
กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อที่ 1−3 % มีวัตถุประสงค์เพื่อรักษาเสถียรภาพด้านราคา ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของการเติบโตของเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน ผ่านการเป็นเป้าหมายในการดำเนินนโยบายการเงินในระยะปานกลาง ดังนั้น เงินเฟ้อจึงผันผวนออกนอกกรอบได้บ้างในระยะสั้น ตราบใดที่เงินเฟ้อไม่ได้สร้างความเสี่ยงต่อเสถียรภาพด้านราคาและเป็นอุปสรรคต่อการเติบโตของเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ กนง. ประเมินว่าเงินเฟ้อที่ต่ำในปัจจุบันไม่ได้มีความเสี่ยงดังกล่าว เนื่องจาก
1.1) อัตราเงินเฟ้ออยู่ต่ำกว่ากรอบเป้าหมายจากปัจจัยด้านอุปทาน และไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการเติบโตของเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ย 12 เดือนที่ผ่านมา ต่ำกว่ากรอบเป้าหมายจากปัจจัยด้านอุปทานในหมวดพลังงานและอาหารสดเป็นสำคัญ โดยราคาพลังงานลดลงตามราคาน้ำมันในตลาดโลกจากค่าเฉลี่ย 12 เดือนก่อนหน้าที่ 85 ดอลลาร์ สรอ. ต่อบาร์เรล เป็นเฉลี่ยที่ 73 ดอลลาร์ สรอ. ต่อบาร์เรล (เดือนสิงหาคม 2567 ถึงเดือนกรกฎาคม 2568) เนื่องจากความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจโลกประกอบกับภาครัฐมีมาตรการในการช่วยเหลือค่าครองชีพผ่านการลดค่าไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง ทำให้ราคาหมวดพลังงานหดตัวที่ 1.7 % สำหรับราคาอาหารสดขยายตัวในระดับต่ำที่ 0.6 % โดยราคาผักลดลงตามผลผลิตที่เพิ่มขึ้นจากสภาพอากาศที่เอื้ออำนวย ประกอบกับผลของฐานที่สูงจากภาวะภัยแล้ง ในปีก่อน ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยช่วง 12 เดือนที่ผ่านมาที่ 0.5 % เป็นผลจากราคาพลังงานและอาหารสดที่ติดลบ 0.1 % ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลังที่ 1.0 % ในส่วนของอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน ทรงตัวอยู่ที่เฉลี่ย 0.9 % ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา เป็นผลจากการที่ผู้ประกอบการส่งผ่านต้นทุนไปยังราคาขายไม่มาก เนื่องจากราคาพลังงานที่เป็นต้นทุนหลักในการผลิตปรับลดลง
นอกจากนี้ การที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานไม่เร่งขึ้น ส่วนหนึ่งสะท้อนเศรษฐกิจไทยที่ขยายตัวช้าจากปัญหาเชิงโครงสร้างในภาคการผลิตที่เผชิญกับการแข่งขันที่เข้มข้นขึ้นจากสินค้าราคาถูกจากต่างประเทศ รวมทั้งยังยังเผชิญกับปัญหาด้านความสามารถในการแข่งขันของประเทศทั้งในแง่คุณภาพแรงงานและเทคโนโลยี ทำให้ผู้ประกอบการปรับราคาขึ้นได้ยาก ดังนั้นอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำเป็นตัวสะท้อนความท้าทายในภาคการผลิต แต่ไม่ได้เป็นต้นเหตุที่ทำให้ เศรษฐกิจขยายตัวช้า สอดคล้องกับผลสำรวจภาคธุรกิจจำนวน 571 ราย ในเดือนกรกฎาคม 2568 ที่พบว่าปัจจัยหลักที่เป็นอุปสรรคต่อการลงทุนของภาคธุรกิจไม่ใช่อัตราเงินเฟ้อที่ต่ำ แต่เป็นการชะลอตัวและความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ และการแข่งขันที่อยู่ในระดับสูง
1.2) เงินเฟ้อที่ต่ำไม่ได้สะท้อนถึงภาวะเงินฝืด และช่วยบรรเทาค่าครองชีพประชาชน กนง. ให้ความสำคัญกับการติดตามพัฒนาการของเงินเฟ้ออย่างใกล้ชิด เพื่อ ไม่ให้เงินเฟ้อที่ต่ำกลายเป็นภาวะเงินฝืดหรือเงินเฟ้อที่ติดลบต่อเนื่องยาวนานจนสร้างความเสี่ยง ให้กับเศรษฐกิจที่ผู้บริโภคจะชะลอการบริโภคสินค้าและบริการ เนื่องจากคาดว่าราคาจะลดลงอีกเป็น วงกว้าง โดยปัจจุบันยังไม่มีสัญญาณความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะเงินฝืด
ซึ่งการจับจ่ายใช้สอยในภาพรวม แม้ชะลอลงบ้าง แต่ยังเติบโตได้ สะท้อนจากการบริโภคภาคเอกชนในไตรมาสที่ 1 และ 2 ปี 2568 ขยายตัวที่ 2.5 % และ 2.1 % นอกจากนี้ ราคาสินค้าและบริการกว่า 60 % ของสินค้าในตะกร้า เงินเฟ้อยังเพิ่มขึ้นหรือไม่เปลี่ยนแปลง ขณะที่ราคาสินค้าที่ปรับลดลงบ่อยในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมาส่วนใหญ่ เป็นสินค้าในหมวดพลังงานและอาหารสด ซึ่งลดลงจากปัจจัยด้านอุปทานข้างต้น สำหรับการคาดการณ์ เงินเฟ้อระยะปานกลางของสาธารณชนยังอยู่ในกรอบเป้าหมาย
โดยอัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ใน 5 ปี ข้างหน้า ทั้งจากผู้เชี่ยวชาญทางเศรษฐกิจของ Asia Pacific Consensus Economics เดือนเมษายน 2568 และข้อมูลตลาดการเงิน ณ เดือนมิถุนายน 2568 อยู่ที่ 1.6 % อีกทั้งยังไม่เห็นสัญญาณว่าอัตราเงินเฟ้อที่ ต่ำนำไปสู่การปรับลดอัตราค่าจ้าง โดยค่าจ้างแรงงานในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ยังขยายตัวที่ 4.6 %
แม้อัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำ แต่ค่าครองชีพของประชาชนยังทรงตัวในระดับสูง ต่อเนื่อง จากราคาสินค้าเพิ่มขึ้นตั้งแต่ช่วงเงินเฟ้อสูงในปี 2565 และไม่ได้ปรับลดลงมาก โดยราคาสินค้า หลายรายการ อาทิ เนื้อสัตว์ น้ำมันพืช และน้ำมันเชื้อเพลิง ยังอยู่ในระดับสูงกว่าช่วงก่อนวิกฤตโควิดถึง ประมาณ 20 % และยังมีสินค้าอีกหลายรายการที่ครัวเรือนบริโภคเป็นประจำ เช่น อาหารสำเร็จรูป และเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ที่ยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ดังนั้น ในบริบทปัจจุบันที่เศรษฐกิจเผชิญความท้าทาย โดยรายได้เติบโตช้า ประกอบกับภาคครัวเรือนที่ถูกกดดันจากภาระหนี้ และภาคธุรกิจยังเผชิญต้นทุน ที่อยู่ในระดับสูง อัตราเงินเฟ้อที่ต่ำจึงมีส่วนช่วยบรรเทาค่าครองชีพของประชาชน และช่วยรักษา ขีดความสามารถในการแข่งขันด้านราคาของภาคธุรกิจได้
(2) บทบาทของนโยบายการเงินในการดูแลเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงิน
2.1) การดำเนินนโยบายการเงินต้องคำนึงถึงความเสี่ยงด้านต่าง ๆ ต่อเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินภายใต้กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อแบบยืดหยุ่น (Flexible Inflation Targeting: FIT) กนง. มุ่งดูแลเสถียรภาพด้านราคา ควบคู่ไปกับการขยายตัวของเศรษฐกิจที่สอดคล้องกับศักยภาพและเสถียรภาพระบบการเงิน โดยเสถียรภาพด้านราคาหมายถึงการดูแลอัตราเงินเฟ้อในระยะปานกลางให้อยู่ในระดับต่ำและไม่ผันผวน (low and stable) ผ่านการมีเป้าหมายเงินเฟ้อแบบช่วงที่ 1−3 % ที่ทำหน้าที่เป็น “หลักยึด” ให้กับการคาดการณ์เงินเฟ้อของประชาชนและธุรกิจ ซึ่งเมื่อสาธารณชน มีความเชื่อมั่นว่า เงินเฟ้อในระยะปานกลางจะอยู่ในเป้าหมาย กนง. จะใช้อัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อดูแลเป้าหมายด้านการเติบโตทางเศรษฐกิจและเสถียรภาพของระบบการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพควบคู่กันไปโดยไม่ต้องปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อให้เงินเฟ้ออยู่ในกรอบเป้าหมายตลอดเวลา จนนำไปสู่ความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจและระบบการเงิน
กนง. ได้ชั่งน้ำหนักระหว่างความเสี่ยงด้านต่าง ๆ ต่อเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงิน ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว และพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 3 ครั้ง ในปี 2568 รวม 0.75 % ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายลดลงมาอยู่ที่ 1.50 % จากแนวโน้มเศรษฐกิจที่ขยายตัวชะลอลงและมีความเสี่ยงด้านต่ำมากขึ้นเป็นสำคัญ โดยเฉพาะผลกระทบต่อเศรษฐกิจจากนโยบายการค้าโลก และภาวะการเงินที่ตึงตัวตามสินเชื่อที่หดตัวต่อเนื่องจากความเสี่ยงด้านเครดิต โดยเฉพาะในกลุ่ม SMEs และครัวเรือนรายได้ต่ำ ขณะที่อัตราเงินเฟ้อที่ต่ำกว่ากรอบเป้าหมายไม่ได้สร้างความเสี่ยงต่อเสถียรภาพด้านราคา โดยอัตราเงินเฟ้อปัจจุบันที่ทรงตัวในระดับต่ำไม่ได้สะท้อนภาวะเงินฝืดและไม่ได้เป็นต้นเหตุให้เศรษฐกิจชะลอลง สำหรับความเสี่ยงด้านเสถียรภาพระบบการเงินโดยรวมปรับลดลงจากการปรับลดสัดส่วนหนี้ต่อรายได้ (debt deleveraging) ที่กำลังดำเนินไปอย่างต่อเนื่องสอดคล้องกับ วัฏจักรสินเชื่อ (credit cycle) ที่อยู่ในช่วงชะลอลง ดังนั้น กนง. จึงปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อให้ภาวะการเงินผ่อนคลายสอดคล้องกับแนวโน้มและความเสี่ยงของเศรษฐกิจ รวมถึงช่วยลดภาระดอกเบี้ยของภาคธุรกิจและครัวเรือนลงได้บ้าง
ทั้งนี้ เทียบกับแนวโน้มเศรษฐกิจ การปรับลดอัตราดอกเบี้ยที่ผ่านมาได้ช้าหรือน้อยเกินไป (behind the curve) โดย กนง. ได้ประเมินภาพเศรษฐกิจที่ขยายตัวชะลอลงไว้แล้วในการกำหนดนโยบาย และตัวเลขเศรษฐกิจในภาพรวมที่ออกมายังคงเป็นไปตามที่ กนง. ประเมินไว้ ซึ่งในช่วงที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง กนง. จะดำเนินนโยบายการเงินที่อิงกับแนวโน้มเศรษฐกิจ (outlook dependent) โดยหากการเติบโตทางเศรษฐกิจมีแนวโน้มชะลอตัวลงกว่าที่ประเมินไว้ กนง. ก็พร้อมจะปรับเปลี่ยนนโยบายให้เหมาะสม
2.2) อัตราดอกเบี้ยมีผลจำกัดในการดูแลเงินเฟ้อที่มาจากปัจจัยด้านอุปทานการผ่อนคลายนโยบายการเงิน มากกว่าในปัจจุบันไม่ช่วยให้อัตราเงินเฟ้อกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายได้เร็วขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำเป็นผลจากปัจจัยด้านอุปทาน ซึ่งนโยบายการเงินไม่สามารถควบคุมได้โดยตรง นอกจากนี้ ภายใต้บริบทที่การชะลอตัวของเศรษฐกิจมีต้นต่อจากปัจจัยเชิงโครงสร้าง การลดอัตราดอกเบี้ยเพียงอย่างเดียวอาจกระตุ้นเศรษฐกิจได้จำกัด โดยอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 1.50 % ถือว่าอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยในอดีตและอัตราดอกเบี้ยนโยบายของต่างประเทศในปัจจุบัน ขณะที่การลดอัตราดอกเบี้ยให้ต่ำมากเป็นระยะเวลานานจะนำไปสู่การสะสมความเสี่ยงในระยะยาว เช่น การก่อหนี้เกินตัว การลดแรงจูงใจในการออม และการลงทุนที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจเท่าที่ควร อีกทั้งด้วยความไม่แน่นอนในระยะข้างหน้ายังอยู่ในระดับสูง การรักษาขีดความสามารถในการดำเนินนโยบาย (policy buffer) จึงเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้นโยบายการเงินสามารถตอบสนองต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างทันท่วงทีและมีประสิทธิภาพ
ในบริบทที่เศรษฐกิจเผชิญความท้าทาย การใช้อัตราดอกเบี้ยนโยบายควบคู่กับการใช้เครื่องมือเชิงนโยบายอื่น (integrated policy) มาช่วยตอบโจทย์อย่างตรงจุด จะช่วยให้การดำเนินนโยบายการเงินมีประสิทธิผลและลดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ กนง. เห็นว่าปัญหาหลักของเศรษฐกิจไทย คือ ปัญหาเชิงโครงสร้างที่ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันและทำให้การเติบโตชะลอลงจากอดีต ประกอบกับภาวะการเงินที่ตึงตัวจากความเสี่ยงด้านเครดิตของลูกหนี้ที่ปรับสูงขึ้น
การลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจึงมีส่วนบรรเทาภาระและสนับสนุนให้ภาคธุรกิจปรับตัวได้บ้างซึ่งควรดำเนินการควบคู่ไปกับมาตรการที่ช่วยแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างหรือปัญหาการเข้าถึงสินเชื่อของ SMEs อาทิ กลไกการค้ำประกันสินเชื่อ และมาตรการสนับสนุนให้ SMEs ปรับตัวและเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน เพื่อให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้อย่างมีเสถียรภาพ
(3)แนวโน้มอัตราเงินเฟ้อในระยะข้างหน้า และระยะเวลาที่คาดว่าจะกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายในระยะข้างหน้า
กนง. ประเมินว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะยังคงอยู่ในระดับต่ำ ภายใต้ข้อสมมติที่ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกจะทรงตัวอยู่ในระดับต่ำไปอีกระยะ ตามการเพิ่มขึ้นของอุปทานน้ำมันดิบโลก ทั้งนี้ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้น และจะทยอยกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายได้ในไตรมาสที่ 1 ปี 2570 ตามราคาน้ำมันดิบที่ไม่ได้ลดลงต่อเนื่องโดยเป็นผลจากอุปสงค์และอุปทานในตลาดน้ำมันที่จะสมดุลขึ้น ส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานมีแนวโน้มทรงตัวใกล้เคียง 1 % ตลอดช่วง ปี 2568 ถึงปี 2570
กนง. จะติดตามพัฒนาการของเงินเฟ้ออย่างใกล้ชิด เพื่อดูแลให้อัตราเงินเฟ้อในระยะปานกลางไม่สูงหรือต่ำจนเกินไป จนกระทบต่อเศรษฐกิจและสภาวะแวดล้อมที่เหมาะสมในการแข่งขันและลงทุน โดยความเสี่ยงสำคัญได้แก่
(1) การชะลอลงของเงินเฟ้อจากราคาสินค้าและบริการที่ปรับลดลงเป็นวงกว้าง จนทำให้อัตราเงินเฟ้อในระยะปานกลางไม่อยู่ในกรอบเป้าหมาย
(2) แนวโน้มของราคาพลังงานโลกที่อาจเปลี่ยนแปลงตามความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์โลก
(3) การปรับห่วงโซ่การผลิตและผลกระทบของการแข่งขันที่เข้มข้นขึ้นตามภูมิทัศน์การค้าใหม่ต่อราคาสินค้า
ทั้งนี้ ตามข้อตกลงร่วมกันระหว่าง กนง. และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2567 หากใน 6 เดือนข้างหน้า อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ย 12 เดือนที่ผ่านมา หรือประมาณการอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ย 12 เดือนข้างหน้า ยังคงเคลื่อนไหวออกนอกกรอบเป้าหมาย กนง. จะมีจดหมายเปิดผนึกถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอีกครั้ง เพื่อเป็นการสื่อสารและสร้างความเชื่อมั่นในการดูแลเสถียรภาพด้านราคาให้แก่สาธารณชนเป็นการทั่วไป