xs
xsm
sm
md
lg

โลกคริปโตจับตาถ้อยแถลง “เจอโรม พาวเวลล์” ชี้ชะตาตลาด "ขึ้น-ลง"

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ตลาดคริปโตกำลังอยู่ในภาวะเปราะบาง ท่ามกลางแรงกดดันจากสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน และถ้อยแถลงสำคัญของ “เจอโรม พาวเวลล์” ประธานเฟด ที่อาจเป็นตัวจุดชนวนให้ตลาดคริปโตเข้าสู่ภาวะ “เทขายรอบใหม่” หากส่งสัญญาณเข้มงวดต่อทิศทางดอกเบี้ยและนโยบายการเงิน

นายเจอโรม พาวเวลล์ (Jerome Powell) ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (Federal Reserve) เตรียมขึ้นเวทีแสดงวิสัยทัศน์เศรษฐกิจสหรัฐฯ และแนวนโยบายการเงิน ในงานประชุมประจำปีของ National Association for Business Economics (NABE) ณ เมืองฟิลาเดลเฟีย ในวันอังคารที่จะถึงนี้ โดยสุนทรพจน์ครั้งนี้มีชื่อว่า “Economic Outlook and Monetary Policy” ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาที่ตลาดการเงินทั่วโลกต่างจับตาอย่างใกล้ชิด หลังต้องเผชิญความผันผวนรุนแรงจากทั้งภายนอกและภายในระบบเศรษฐกิจ

แรงกระเพื่อมจากนโยบายภาษีทรัมป์ เขย่าตลาดคริปโตทั่วโลก

ขณะที่สัปดาห์ที่ผ่านมา ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศแผนเก็บภาษีนำเข้าจากจีน 100% มีผลวันที่ 1 พฤศจิกายน ส่งผลให้ตลาดทั่วโลกปั่นป่วนทันที มูลค่ารวมตลาดคริปโตหายไปกว่า 125,000 ล้านดอลลาร์ภายในไม่กี่ชั่วโมง

ขณะที่ Bitcoin ที่เคยพุ่งทะลุ 122,000 ดอลลาร์ กลับร่วงต่ำกว่า 105,000 ดอลลาร์ และแตะระดับ 102,000 ดอลลาร์ในวันเสาร์ ส่วน Ethereum ก็ปรับตัวดิ่งกว่า 20% ในช่วงเวลาเดียวกัน ขณะที่ Solana, XRP และ BNB เองก็สูญเสียมูลค่าระหว่าง 12% - 18% ตามลำดับ

ทั้งนี้แรงเทขายครั้งใหญ่ดังกล่าวก่อให้เกิดการล้างพอร์ตครั้งรุนแรงที่สุดของปี โดยข้อมูลจาก CoinGlass ระบุว่ามีนักเทรดกว่า 1.66 ล้านรายถูกล้างพอร์ตใน 24 ชั่วโมง คิดเป็นมูลค่ากว่า 19,330 ล้านดอลลาร์ โดยเฉพาะ Bitcoin และ Ethereum ซึ่งรวมกันคิดเป็นความเสียหายเกือบ 10,000 ล้านดอลลาร์

นอกจากนี้ดัชนี Crypto Fear & Greed Index ก็ร่วงจากระดับ “Greed” ที่ 64 ลงสู่ “Fear” ที่ 27 ในวันเดียว ต่ำสุดในรอบ 6 เดือน

บริษัทวิเคราะห์ข้อมูล Santiment ชี้ว่าการเทขายไม่ได้เกิดจากปัจจัยสงครามการค้าเพียงอย่างเดียว แต่ยังสะท้อนการใช้เลเวอเรจเกินตัวและการถือสถานะ Long จำนวนมากในตลาดที่ร้อนแรงเกินไป ซึ่งนักวิเคราะห์จาก The Kobeissi Letter เรียกสถานการณ์นี้ว่า “การบังคับปลดภาระในตลาดที่แออัดเกินไป” (Forced Unwind in an Overcrowded Market)

ตลาดรอฟัง “พาวเวลล์” ชี้ทิศทางดอกเบี้ยจะลดหรือยัง?

นักวิเคราะห์หลายรายประเมินว่า ถ้อยแถลงของพาวเวลล์ในวันอังคารนี้จะเป็นตัวกำหนด “ทิศทางต่อไปของตลาด” ว่าความผันผวนที่เห็นในช่วงนี้จะลุกลามหรือเริ่มคลี่คลาย โดยตลาดฟิวเจอร์สคาดการณ์ว่าเฟดจะปรับลดดอกเบี้ย 0.25% ทั้งในเดือนตุลาคมและธันวาคม ด้วยความน่าจะเป็น 97% และ 89% ตามลำดับ

อย่างไรก็ตาม นักลงทุนมองว่าพาวเวลล์อาจใช้เวที NABE เพื่อแสดงมุมมองต่อภาวะเงินเฟ้อ การเติบโตทางเศรษฐกิจ และผลกระทบจากภาษีต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งหากเขาส่งสัญญาณในเชิง “เข้มงวด” (Hawkish) หรือย้ำว่าดอกเบี้ยจะยังอยู่ในระดับสูงเป็นเวลานาน ตลาดคริปโตและตลาดหุ้นทั่วโลกอาจเผชิญแรงเทขายรอบใหม่ทันที เนื่องจากนักลงทุนมองว่าความเสี่ยงในสินทรัพย์เสี่ยงจะสูงขึ้น

ตรงกันข้าม หากถ้อยแถลงมีโทน “ผ่อนคลาย” และเปิดทางให้เฟดลดดอกเบี้ยเร็วกว่าคาด อาจช่วยให้ตลาดเริ่มฟื้นตัว โดยเฉพาะในสินทรัพย์ดิจิทัลซึ่งตอบสนองไวต่อสภาพคล่องในระบบการเงิน

คริปโตฟื้นบางส่วน หลังทรัมป์ส่งสัญญาณอ่อนโยนต่อจีน

แม้ตลาดจะยังไม่กลับสู่ภาวะปกติ แต่ในวันจันทร์ที่ผ่านมา Bitcoin ฟื้นตัว 4.5% สู่ระดับ 115,459 ดอลลาร์ ขณะที่ Ether เด้งกลับ 11.3% แตะ 4,161 ดอลลาร์ หลังทรัมป์และรองประธาน เจดี แวนซ์ (JD Vance) แสดงท่าทีอ่อนลง โดยเปิดทางเจรจากับปักกิ่งอีกครั้ง

ขณะที่ทรัมป์โพสต์บน Truth Social ว่า “อย่ากังวลเรื่องจีน ทุกอย่างจะไปได้ดี” พร้อมชื่นชม สี จิ้นผิง ว่าเป็น “ผู้นำที่น่าเคารพ” และระบุว่าสหรัฐฯ ต้องการ “ช่วย ไม่ใช่ทำร้ายจีน”

อย่างไรก็ดี ความตึงเครียดด้านสงครามการค้า (กำแพงภาษีการค้า) ยังคงสูงอยู่ โดยจีนเตือนว่าสหรัฐฯ จะต้องเผชิญการตอบโต้ หากเดินหน้าขึ้นภาษี 100% โดยกระทรวงพาณิชย์จีนระบุว่า “เราไม่ต้องการสงครามการค้า แต่ก็ไม่เกรงกลัวหากต้องเผชิญ” พร้อมยืนยันว่าจะดำเนินมาตรการปกป้องผลประโยชน์ของประเทศอย่างเด็ดขาด

ทองคำ-โลหะเงิน พุ่งทำสถิติใหม่ สะท้อนแรงหนีความเสี่ยง

ท่ามกลางความไม่แน่นอน นักลงทุนหันเข้าหาสินทรัพย์ปลอดภัย โดยราคาทองคำพุ่งแตะ 4,200 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และโลหะเงินพุ่งขึ้นสู่ 51.70 ดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ขณะที่ Bank of America ปรับเพิ่มคาดการณ์ราคาทองปี 2569 สู่ 5,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยให้เหตุผลว่า ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ยังคงสูง และธนาคารกลางทั่วโลกยังคงซื้อตุนทองคำต่อเนื่อง

สหรัฐฯ-จีน ขยับเกมการค้า เฟดต้อง “เดินบนเส้นบาง”

ย้อนกลับไปเมื่อเดือนเมษายน ทรัมป์ได้ใช้มาตรการภาษีใหม่สูงสุดถึง 125% ต่อสินค้าจากจีน และกำหนดอัตราภาษีฐาน 10% ต่อสินค้าทุกรายการ ก่อนจีนจะตอบโต้ด้วยภาษีในระดับใกล้เคียงกัน กระทั่งในเดือนพฤษภาคม ทั้งสองฝ่ายตกลงชะลอการขึ้นภาษีชั่วคราว โดยลดอัตราภาษีลงเหลือสหรัฐฯ 30% และจีน 10% เพื่อเปิดทางการเจรจา 90 วันในกรุงเจนีวา

ทั้งนี้สถานการณ์ดังกล่าวสะท้อนว่า เฟดกำลังต้องเผชิญโจทย์ซับซ้อนระหว่าง “การควบคุมเงินเฟ้อ” กับ “การรักษาเสถียรภาพตลาด” ท่ามกลางแรงกดดันทางภูมิรัฐศาสตร์ที่อาจเปลี่ยนทิศเศรษฐกิจโลกในชั่วข้ามคืน

พาวเวลล์จึงไม่เพียงต้องส่งสัญญาณทางการเงินที่ถูกจังหวะเท่านั้น แต่ยังต้องรักษาความเชื่อมั่นของตลาดในช่วงเวลาที่นักลงทุนทั่วโลกพร้อมจะตีความทุกคำพูดของเขาเป็นสัญญาณซื้อหรือขายซึ่งทุกประโยคของเขา อาจหมายถึงเส้นชีวิตกำหนดชะตาตลาดคริปโต