นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 32.30-32.85 บาท/ดอลลาร์ และกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วงโมงข้างหน้า คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.45-32.65 บาท/ดอลลาร์จากระดับเปิดเช้านี้(14ต.ค.68)ที่ 32.61 บาทต่อดอลลาร์“แข็งค่าขึ้น”จากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้า ณ ระดับ 32.72 บาทต่อดอลลาร์ (ระดับปิด ณ วันที่ 10 ตุลาคม) โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนวันศุกร์สัปดาห์ก่อนหน้าและวันจันทร์ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันหยุดของตลาดการเงินไทย เงินบาท (USDTHB) ทยอยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง และมีจังหวะแข็งค่าทดสอบโซนแนวรับ 32.50 บาทต่อดอลลาร์ (แกว่งตัวในกรอบ 32.50-32.74 บาทต่อดอลลาร์)
โดยแม้ว่า เงินดอลลาร์จะทยอยแข็งค่าขึ้นบ้าง หลังผู้เล่นในตลาดเริ่มคลายความกังวลต่อสถานการณ์ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ลงบ้าง อีกทั้งความไม่แน่นอนของสถานการณ์ทางการเมืองฝรั่งเศสและญี่ปุ่น ก็มีส่วนหนุนเงินดอลลาร์ ผ่านการอ่อนค่าลงของทั้งเงินยูโร (EUR) และเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) อย่างไรก็ดี การแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ดังกล่าว กลับไม่ได้กดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงอย่างเห็นได้ชัด หลังเงินบาทยังพอได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นต่อเนื่องของราคาทองคำ (XAUUSD) ที่ล่าสุดสามารถทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ เหนือโซน 4,100 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ท่ามกลางความต้องการถือครองของผู้เล่นในตลาดจากประเด็นความเสี่ยงสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ที่กลับมาร้อนแรงอีกครั้ง
สำหรับในสัปดาห์นี้ เรามองว่า ควรรอติดตาม ประเด็นความขัดแย้งทางการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ รวมถึง ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด พร้อมรอลุ้นรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน
สำหรับ แนวโน้มเงินบาท เราประเมินว่า โมเมนตัมการอ่อนค่าของเงินบาทได้อ่อนกำลังลง หลังความไม่แน่นอนของสถานการณ์ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ได้หนุนให้ผู้เล่นในตลาดเลือกที่จะเข้าถือครองสินทรัพย์ปลอดภัย อย่าง ทองคำ แม้ว่า เงินดอลลาร์จะทยอยกลับมาแข็งค่าขึ้นก็ตาม หลังเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) พลิกกลับมาอ่อนค่าลงทะลุโซน 152 เยนต่อดอลลาร์ อีกครั้ง หลังผู้เล่นในตลาดเริ่มทยอยคลายกังวลต่อประเด็นความขัดแย้งทางการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ลงบ้าง (จากโพสล่าสุดของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ บน Truth Social ที่ระบุว่า “The USA wants to help China, not hurt it”) จุดกระแส TACO (Trump Always Chickens Out) Trade ให้กลับมาอีกครั้ง
ทั้งนี้ เรายังมีความกังวลว่า เงินบาทอาจเสี่ยงอ่อนค่าลงต่อได้ โดยเฉพาะ หากราคาทองคำ (ที่ยังคงปรับตัวสูงขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์) เผชิญแรงขายทำกำไรและเริ่มเข้าสู่ช่วงการพักฐาน สอดคล้องกับข้อมูลสถิติในอดีต ซึ่งจะเป็นปัจจัยที่กดดันเงินบาทได้ นอกจากนี้ หากตลาดกลับมากังวลประเด็นความขัดแย้งทางการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ มากขึ้น จนกดดันให้เงินหยวนจีน (CNH) อ่อนค่าลง ก็อาจส่งผ่านแรงกดดันด้านอ่อนค่ามายังเงินบาทได้ ทว่า เงินบาทก็อาจพอได้แรงหนุน หากราคาทองคำปรับตัวขึ้นบ้าง พร้อมกับการแข็งค่าขึ้นของเงินเยนญี่ปุ่น และหากอ้างอิงกลยุทธ์ Trend-Following เรามองว่า เงินบาทจะยังอยู่ในแนวโน้มอ่อนค่า จนกว่า เงินบาทจะพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นทะลุโซนแนวรับ 32.30-32.40 บาทต่อดอลลาร์ ได้อย่างชัดเจน
ในส่วนเงินดอลลาร์นั้น เรามองว่า เงินดอลลาร์คงเสี่ยงเผชิญ Two-way risk โดยต้องจับตาทั้งประเด็นสงครามการค้าจีน-สหรัฐฯ รวมถึงสถานการณ์การเมืองญี่ปุ่นและฝรั่งเศสที่จะส่งผลกระทบต่อเงินเยนญี่ปุ่นและเงินยูโรได้ ทั้งนี้ เงินดอลลาร์อาจเคลื่อนไหวไร้ทิศทางที่ชัดเจน จนกว่าตลาดจะรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ