นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้(9ต.ค.68)ที่ระดับ 32.55 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง"จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 32.52 บาทต่อดอลลาร์ และมองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.45-32.65 บาท/ดอลลาร์ โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) เคลื่อนไหวอ่อนค่าลงเล็กน้อย ในลักษณะ Sideways Up (แกว่งตัวในกรอบ 32.46-32.60 บาทต่อดอลลาร์) สอดคล้องกับการเคลื่อนไหวไร้ทิศทางของปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อเงินบาท ไม่ว่าจะเป็นเงินดอลลาร์ และราคาทองคำ (XAUUSD) หลังผู้เล่นในตลาดต่างต้องการรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม ท่ามกลางภาวะ Data Blindness (ขาดการรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ) จากผลกระทบของภาวะ Government Shutdown ในฝั่งสหรัฐฯ
นอกจากนี้ การอ่อนค่าของเงินบาทเหนือโซนแนวต้าน 32.50 บาทต่อดอลลาร์ ยังคงเป็นไปอย่างจำกัด ท่ามกลางแรงขายเงินดอลลาร์จากบรรดาผู้เล่นในตลาด อย่าง ฝั่งผู้ส่งออก ส่วนผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ของไทยที่แม้จะคงดอกเบี้ยที่ระดับ 1.50% สวนทางกับคาดการณ์ของผู้เล่นในตลาดและนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ว่าจะมีการลดดอกเบี้ยลง 25bps (แต่เรามองคงดอกเบี้ย) ก็ไม่ได้หนุนให้เงินบาทกลับมาแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง โดยเงินบาทแข็งค่าขึ้นบ้าง หลังรับรู้ผลการประชุม กนง. ก่อนที่จะทยอยอ่อนค่าลง ตามจังหวะการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ และมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ยังคงเชื่อว่า กนง. จะสามารถเดินหน้าลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมจนอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงมาสู่ระดับ 1.00% ภายในปีหน้า
สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของบรรดาธนาคารกลางหลัก ทั้ง เฟด และ ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ผ่านถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางดังกล่าว โดยเฉพาะถ้อยแถลงของประธานเฟด Jerome Powell ที่จะรับรู้ในช่วงราว 19.30 น. ตามเวลาประเทศไทย นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม รายงานการประชุม ECB ล่าสุด เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายของ ECB ซึ่งผู้เล่นในตลาดต่างมองว่า ECB ได้จบรอบการลดดอกเบี้ยแล้ว
ส่วนในฝั่งเอเชีย บรรดานักวิเคราะห์ต่างประเมินว่า ธนาคารกลางฟิลิปปินส์ (BSP) อาจเลือกคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 5.00% เช่นเดียวกันกับบรรดาธนาคารกลางเอเชียส่วนใหญ่ในช่วงนี้ ซึ่งหนึ่งในเหตุผล นอกเหนือจากภาพเศรษฐกิจในประเทศ คือ การรอประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจสหรัฐฯ และทิศทางนโยบายการเงินของเฟด รวมถึงระวังความเสี่ยงต่อตลาดการเงินเอเชีย หลังเงินดอลลาร์ได้ทยอยแข็งค่าขึ้นในช่วงที่ผ่านมา กดดันบรรดาสกุลเงินเอเชียพอสมควร
และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม พัฒนาการของสถานการณ์การเมืองสหรัฐฯ หลังเข้าสู่ภาวะ Government Shutdown รวมถึงสถานการณ์การเมืองฝรั่งเศส
สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เราคงมุมมองเดิมว่า โมเมนตัมการอ่อนค่าของเงินบาทยังมีกำลังอยู่ และเงินบาทได้กลับสู่แนวโน้มอ่อนค่าลง (อย่างน้อยในระยะสั้น) นอกจากนี้ หากเงินบาทสามารถอ่อนค่าทะลุโซนแนวต้าน 32.50 บาทต่อดอลลาร์ ได้อย่างชัดเจน ก็อาจเพิ่มโอกาสที่เงินบาทจะสามารถอ่อนค่าลงทดสอบโซนแนวต้านถัดไป 32.65 บาทต่อดอลลาร์ ได้ โดยเฉพาะในกรณีที่เผชิญปัจจัยกดดันฝั่งอ่อนค่าเพิ่มเติม เช่น ราคาทองคำเข้าสู่ช่วงการปรับฐาน (ยิ่งปรับฐานลึก ก็อาจกดดันเงินบาทได้พอสมควร) อย่างไรก็ดี การอ่อนค่าทะลุโซนแนวต้าน 32.50 บาทต่อดอลลาร์ อย่างชัดเจนและต่อเนื่อง อาจไม่ได้ง่ายนัก เนื่องจากบรรดาผู้เล่นในตลาด อย่าง ฝั่งผู้ส่งออก ต่างก็รอทยอยขายเงินดอลลาร์ หากเงินบาทอ่อนค่าลงสู่โซนแนวต้านดังกล่าว
นอกจากนี้ เรามองว่า โมเมนตัมการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ในช่วงที่ผ่านมานั้น อาจแผ่วลงบ้าง หลังตลาดยังคงขาดการรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม ส่วนประเด็นการเมืองฝรั่งเศสและญี่ปุ่นนั้น ก็หนุนการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ไปมากแล้ว อีกทั้ง เรายังคงเห็นการทยอยกลับเข้าเพิ่มสถานะ Long EUR และ Long JPY ของผู้เล่นในตลาด ในลักษณะเน้น Long or Buy on Dip อยู่ ดังจะเห็นได้จากการที่เงินเยนญี่ปุ่น (USDJPY) ยังไม่สามารถอ่อนค่าทะลุโซนแนวต้าน 153 เยนต่อดอลลาร์ ได้อย่างชัดเจน ส่วนเงินยูโร (EUR) ก็ดูจะสามารถทรงตัวเหนือระดับ 1.16 ดอลลาร์ต่อยูโร ได้ ดังนั้น หากการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ยังคงเป็นไปอย่างจำกัดอยู่ ท่ามกลางภาวะ Data Blindness เรามองว่า เงินบาทก็อาจไม่ได้อ่อนค่าเร็ว แรง ได้ง่ายนัก จนกว่าตลาดจะรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม