ราคาทองคำพุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 4,035 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ท่ามกลางกระแสเงินไหลเข้าทรัพย์สินปลอดภัย หลังความไม่แน่นอนทางการเมืองและเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ปะทุอีกระลอก ด้านนักลงทุนเริ่มมอง “บิทคอยน์” เป็นสินทรัพย์หลบภัยคู่ขนาน จับตาแนวโน้มทำสถิติสูงสุดใหม่ตามทองคำ หลังราคาทะลุ 125,000 ดอลลาร์ในเดือนตุลาคม
ราคาทองคำปรับตัวทะยานขึ้นกว่า 30% ตั้งแต่เดือนเมษายน หลังนโยบายภาษีของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จุดชนวนความผันผวนในตลาดโลก ล่าสุด ทองคำสร้างสถิติใหม่ในวันพุธที่ 4,035 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ท่ามกลางแรงเทขายสินทรัพย์เสี่ยงและความต้องการถือทองคำเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
โดยแรงหนุนหลักของรอบกระทุ้งราคานี้มาจากภาวะ ชัตดาวน์ของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ยืดเยื้อมานานเข้าสู่สัปดาห์ที่สอง ทำให้นักลงทุนขาดความเชื่อมั่นในเสถียรภาพการคลัง และหันไปถือครองสินทรัพย์ปลอดภัยแทน
“ภาวะชัตดาวน์กำลังเป็นลมส่งท้ายให้ราคาทองคำพุ่งต่อเนื่อง”
คริสโตเฟอร์ หว่อง นักกลยุทธ์อัตราดอกเบี้ยจากธนาคาร OCBC สิงคโปร์ กล่าว พร้อมเสริมว่า “ทุกครั้งที่เกิดทางตันทางการเมือง นักลงทุนจะกลับไปหาทองคำ และทองคำก็ไม่เคยทำให้ผิดหวัง”
ข้อมูลจาก World Gold Council ระบุว่า เงินไหลเข้าสู่กองทุน ETF ที่มีทองคำหนุนหลังพุ่งแตะระดับ 64,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2568 ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ขณะเดียวกันความต้องการในหมู่ลูกค้ารายย่อยก็เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ขณะที่ เกรกอร์ เกรเกอร์เซน ผู้ก่อตั้ง Silver Bullion เปิดเผยว่า ฐานลูกค้าของบริษัทเพิ่มขึ้นกว่าสองเท่าในรอบปีที่ผ่านมา โดยลูกค้าจำนวนมากถือทองคำระยะยาวเกินสี่ปี “แม้ราคาทองอาจมีช่วงพักฐาน แต่สภาพเศรษฐกิจในภาพรวมยังเอื้อต่อขาขึ้นต่อเนื่องอย่างน้อยห้าปี” เขากล่าว
อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์บางส่วนเตือนว่า แรงบวกอาจชะลอลง หากรัฐบาลสหรัฐฯ สามารถยุติภาวะชัตดาวน์ได้ หรือหากธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) กลับมาใช้มาตรการขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้ง ซึ่งจะทำให้สินทรัพย์ที่ไม่มีผลตอบแทนอย่างทองคำสูญเสียความน่าสนใจ
ทั้งนี้ ในปี 2565 ทองคำเคยร่วงจากระดับ 2,000 ดอลลาร์ลงมาเหลือเพียง 1,600 ดอลลาร์ หลังเฟดเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อหลังโควิด-19 อย่างแข็งกร้าว
แต่ในตอนนี้ ตลาดกลับประเมินว่า “การลดดอกเบี้ย” คือทิศทางต่อไป ซึ่งจะยิ่งหนุนให้ทองคำกลายเป็นดาวเด่นของตลาดการเงินโลกในปีนี้
บิทคอยน์แรงไม่แพ้ทอง พุ่งทะลุ 125,000 ดอลลาร์ สะท้อนแรงซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย
ไม่เพียงแต่ทองคำเท่านั้นที่ได้อานิสงส์จากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ “บิทคอยน์” หรือที่นักลงทุนเรียกว่า “ทองคำดิจิทัล” ก็เร่งเครื่องตามเช่นกัน โดยราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นผ่าน 125,000 ดอลลาร์ เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการปรับขึ้นแรงที่สุดในเดือนตุลาคมนับตั้งแต่มีการบันทึกสถิติ
กระแสเงินทุนจากสถาบันขนาดใหญ่ไหลเข้ากองทุน Bitcoin ETF ต่อเนื่อง ขณะที่นักวิเคราะห์จาก เจพีมอร์แกน คาดว่า หากแรงซื้อยังคงอยู่ ราคาบิทคอยน์มีโอกาสแตะ 165,000 ดอลลาร์ ภายในสิ้นปีนี้
ด้าน ทิโมต์ ลามาร์เรอ หัวหน้าฝ่ายวิจัยตลาดของบริษัท Unchained ซึ่งบริหารสินทรัพย์กว่า 11,000 ล้านดอลลาร์ ระบุว่า “ยิ่งนักลงทุนสถาบันเห็นบิทคอยน์ฟื้นตัวแรงหลังการย่อตัว ยิ่งสร้างความเชื่อมั่นให้ถือครองระยะยาวมากขึ้น”
เขาเสริมว่า หากตลาดเริ่มมองว่าการด้อยค่าของสกุลเงินหลักเป็น “โครงสร้างถาวร” มากกว่าภาวะชั่วคราว บิทคอยน์อาจกำลังเข้าสู่ “ช่วงการประเมินมูลค่าใหม่ครั้งใหญ่”
อย่างไรก็ตามสถานการณ์ปัจจุบันสะท้อนให้เห็นการเปลี่ยนพอร์ตครั้งสำคัญของนักลงทุนทั่วโลก ที่หันเข้าหาสินทรัพย์จริงและสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างทองคำ แร่โลหะเงิน และบิทคอยน์ เพื่อป้องกันความเสี่ยงจาก การด้อยค่าของค่าเงิน (currency debasement) ที่กำลังรุกเร้าในหลายประเทศ
ขณะที่นักลงทุนจำนวนมากจึงเริ่มขยับออกจากสินทรัพย์สกุลเงินกระดาษ เข้าสู่สิ่งที่เรียกว่า “debasement trade*” การหนีจากค่าเงินที่ถูกลดคุณค่าด้วยหนี้สาธารณะพุ่งและความปั่นป่วนทางการเมือง และในสมรภูมินี้ ทองคำกับบิทคอยน์ต่างก็กลายเป็น “ที่หลบภัยสุดท้าย” ที่โลกการเงินยังคงให้ความไว้วางใจอย่างเหนียวแน่น.