xs
xsm
sm
md
lg

ไมโครสแตรทิจีจ่อแซง “อเมซอน-ไมโครซอฟท์” ด้วยคลังบิทคอยน์มูลค่า 78,000 ล้านดอลลาร์

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“ไมโครสแตรทิจี” ยกระดับสถานะสู่บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านสินทรัพย์ดิจิทัล หลังมูลค่าคลังบิทคอยน์พุ่งแตะ 78,000 ล้านดอลลาร์ ใกล้เคียงกับเงินสดในมือของ "อเมซอน , กูเกิล และไมโครซอฟท์" ขณะบริษัทยักษ์ไอทีบางแห่งกลับพลาดโอกาสจากการปฏิเสธบิทคอยน์ในงบดุล

มูลค่าบิทคอยน์ที่ไมโครสแตรทิจี (Strategy’s) ถือครองอยู่กว่า 640,031 BTC ได้พุ่งขึ้นแตะระดับ 80,000 ล้านดอลลาร์ ชั่วขณะในวันจันทร์ที่ผ่านมา หลังจากราคาบิทคอยน์ทุบสถิติสูงสุดใหม่ที่ 126,080 ดอลลาร์ ต่อเหรียญ ส่งผลให้คลังสินทรัพย์ดิจิทัลของบริษัทเข้าใกล้ระดับเงินสดของ อเมซอน ,กูเกิล และไมโครซอฟท์ ซึ่งต่างถือครองเงินสดและรายการเทียบเท่าประมาณ 95,000–97,000 ล้านดอลลาร์

ก่อนหน้านี้ ไมโครซอฟท์ได้ปฏิเสธข้อเสนอให้เพิ่มบิทคอยน์ในงบดุล เมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้ว เช่นเดียวกับเมตา (เฟซบุ๊กเดิม) ที่โหวตคว่ำข้อเสนอคล้ายกันในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ซึ่งหากทั้งสองบริษัทตัดสินใจรับข้อเสนอนั้น วันนี้พวกเขาคงได้เห็นมูลค่าทรัพย์สินเติบโตเป็นเลขสองหลัก

ขณะเดียวกัน บริษัทวิเคราะห์ข้อมูลยักษ์ใหญ่รายนี้ได้แซงหน้ามูลค่าคลังของบริษัทชั้นนำอย่าง เอ็นวีเดีย , แอปเปิล และเมตา ไปแล้ว โดยอาศัยกลยุทธ์ “ซื้อสะสมอย่างต่อเนื่อง” ที่เป็นเอกลักษณ์ของไมโครสแตรทิจี

อย่างไรก็ตามในภาพรวม เบิร์กเชียร์ แฮธาเวย์ ยังคงครองแชมป์คลังเงินสดใหญ่ที่สุดในโลกที่ราว 344,000 ล้านดอลลาร์ ส่วน เทสลา เป็นบริษัทเพียงรายเดียวใน 10 อันดับแรกที่ถือครองบิทคอยน์ โดยมีอยู่ราว 11,509 BTC หรือมูลค่าเพียง 1,400 ล้านดอลลาร์ จากสินทรัพย์รวมกว่า 37,000 ล้านดอลลาร์

นักวิเคราะห์ชี้เทรนด์ใหม่ในตลาดทุนใช้ “บิทคอยน์คือเครื่องมือป้องกันเงินเฟ้อ”

นักวิเคราะห์จาก เจพีมอร์แกน ระบุว่า บิทคอยน์และทองคำคือ “สินทรัพย์ป้องกันการด้อยค่าของเงิน (Debasement Trade)” ที่สามารถใช้เป็นเกราะป้องกันความเสี่ยงจากภาวะเงินเฟ้อของดอลลาร์สหรัฐ และหนี้สาธารณะที่พุ่งทะยานแตะเกือบ 38 ล้านล้านดอลลาร์

ด้าน แลร์รี ฟิงก์ ซีอีโอของ แบล็กร็อก ซึ่งเคยเป็นผู้วิจารณ์บิทคอยน์อย่างหนัก กลับออกมาประกาศเมื่อเดือนมกราคมว่า ราคาบิตคอยน์อาจพุ่งแตะ 700,000 ดอลลาร์ ได้ หากความกังวลเรื่องค่าเงินเสื่อมค่าทั่วโลกยังคงรุนแรง

ทั้งนี้ ข้อเสนอให้บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่เพิ่มบิทคอยน์ในงบดุลนั้นมาจาก อีธาน พีค รองผู้อำนวยการของ National Center for Public Policy Research (NCPPR) ซึ่งระบุว่า การถือเงินสดในยุคที่อัตราดอกเบี้ยพันธบัตรต่ำกว่าความจริงของเงินเฟ้อ ถือเป็นการ “ทำลายมูลค่าผู้ถือหุ้นอย่างต่อเนื่อง” โดยเฉพาะในกรณีของเมตาที่มีถึง 28% ของสินทรัพย์ทั้งหมดอยู่ในรูปเงินสด

ที่มา : Strategy’s
ไมโครซอฟท์ - เมตา พลาดขบวนบิทคอยน์

ไมโครซอฟท์ปฏิเสธข้อเสนอของ NCPPR ขณะราคาบิทคอยน์อยู่ที่ 97,170 ดอลลาร์ ส่วนเมตาปฏิเสธเมื่อราคาขยับขึ้นมาที่ 104,800 ดอลลาร์ ทำให้ทั้งสองบริษัทพลาดกำไรระดับสองหลักในเวลาไม่ถึงหนึ่งปี

ความผันผวนของบิตคอยน์เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผู้ถือหุ้นไมโครซอฟท์ลงคะแนนไม่เห็นด้วย อย่างไรก็ตาม พีค แนะนำว่า บริษัทควรจัดสรรเพียง 1% - 5% ของเงินสดในมือ เข้าบิทคอยน์ เพื่อสร้างความคุ้มครองต่อมูลค่าทรัพย์สินในระยะยาว

ทั้งนี้ NCPPR ได้ยื่นข้อเสนอในลักษณะเดียวกันต่อคณะกรรมการของอเมซอนเมื่อเดือนธันวาคม แต่ยังไม่มีความคืบหน้าอย่างเป็นรูปธรรม

กระแสองค์กรถือบิทคอยน์พุ่งกว่าเท่าตัวในปี 2568

แม้บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่จะปฏิเสธ แต่แนวโน้มองค์กรถือครองบิตคอยน์กลับเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ปัจจุบันมีบริษัทจดทะเบียนมากกว่า 200 แห่งทั่วโลก ถือบิทคอยน์ เทียบกับไม่ถึง 100 แห่งเมื่อช่วงต้นปี โดยเกือบทั้งหมดอยู่ในสถานะกำไรจากการลงทุน หลังราคาบิทคอยน์แตะระดับใกล้จุดสูงสุดตลอดกาลในต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา

สำหรับไมโครสแตรทิจี บริษัทซื้อบิทคอยน์เฉลี่ยที่ราคา 73,981 ดอลลาร์ต่อเหรียญ ส่งผลให้มูลค่าการลงทุนเพิ่มขึ้นกว่า 65% หรือราว 30,400 ล้านดอลลาร์ นับเป็นหนึ่งในกรณีศึกษาสำคัญของ “การเปลี่ยนสินทรัพย์เงินสดให้กลายเป็นทองคำดิจิทัล” ที่อาจกลายเป็นต้นแบบให้บริษัทยักษ์ใหญ่ทั่วโลกต้องหันมาทบทวนยุทธศาสตร์การเงินของตนเองอีกครั้ง