เงินทุนสถาบันทะลักเข้า ตลาดหนุนบิทคอยน์ทำจุดสูงสุดใหม่ ขณะที่นโยบายหนุนคริปโตของประธานาธิบดีทรัมป์และดอลลาร์ที่อ่อนค่ากระตุ้นแรงซื้อสินทรัพย์ปลอดภัยทั่วโลก
บิทคอยน์พุ่งทำสถิติสูงสุดใหม่เหนือระดับ 126,000 ดอลลาร์สหรัฐ หลังนักลงทุนทั่วโลกเร่งหาที่หลบภัยจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเมือง โดยเฉพาะภาวะชัตดาวน์ของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ยืดเยื้อและปัญหาความขัดแย้งในสภาคองเกรส
การพุ่งขึ้นครั้งนี้ส่งผลให้ราคาบิทคอยน์เกือบเพิ่มขึ้นเท่าตัวภายในหนึ่งปีสะท้อนความเชื่อมั่นที่กลับมาอย่างแข็งแกร่งในฐานะสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยง (safe haven asset) ของยุคใหม่
บิทคอยน์แตะระดับสูงสุดที่ 126,080 ดอลลาร์ หลังทะลุแนวต้านทางจิตวิทยาที่ 125,000 ดอลลาร์ ก่อนจะปรับฐานเล็กน้อยมาปิดที่ 124,712 ดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 0.6% ขณะเดียวกัน อีเธอร์ (ETH) ปรับขึ้น 3.4% สู่ระดับ 4,676 ดอลลาร์ ส่วน XRP และ BNB ขยับขึ้น 0.4% และ 3.6% ตามลำดับ
รัฐบาลสหรัฐฯ ชัตดาวน์ยืดเยื้อ จุดเงินไหลเข้า “คริปโต” กว่า 6 พันล้านดอลลาร์
นักวิเคราะห์ชี้ว่า แรงหนุนหลักของกระแสการลงทุนในคริปโตครั้งนี้ มาจากเม็ดเงินลงทุนจากสถาบัน (institutional inflows) ที่หลั่งไหลเข้าสู่กองทุนบิทคอยน์อย่างต่อเนื่อง ประกอบกับนโยบายหนุนสินทรัพย์ดิจิทัลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่กระตุ้นให้นักลงทุนกระจายพอร์ตออกจากสินทรัพย์ดั้งเดิม
ดัชนีค่าเงินดอลลาร์ (Dollar Index) ทรงตัวที่ระดับ 98.18 แต่โดยรวมยังอ่อนค่ากว่า 10% ตั้งแต่ต้นปี สะท้อนแรงกดดันจากความไม่แน่นอนทางการคลังและการเมืองภายในประเทศ
ขณะเดียวกัน ภาวะชัตดาวน์ของรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งลากยาวเข้าสู่สัปดาห์ที่สอง ยิ่งเพิ่มแรงเทขายดอลลาร์และพันธบัตร นักลงทุนเร่งโยกเงินกว่า 6,000 ล้านดอลลาร์ เข้าสู่คริปโตเคอร์เรนซีและทองคำ เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากภาวะ “อัมพาตทางการคลัง”
ขณะที่ทองคำเองก็พุ่งทำสถิติสูงสุดเหนือระดับ 4,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ยืนยันบทบาทคู่ขนานของบิตคอยน์ในฐานะ “ทองคำดิจิทัล” อย่างชัดเจน
กองทุน ETF จุดกระแสใหม่ ดันบิทคอยน์ทำสถิติสูงสุดในรอบปี
กระแส Spot Bitcoin ETF ยังคงเป็นตัวขับเคลื่อนหลักของตลาด โดยกองทุนของ BlackRock และ Fidelity มียอดเงินไหลเข้ารวมกว่า 3.24 พันล้านดอลลาร์ ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ถือเป็นสัปดาห์ที่สองที่มียอดสูงสุดนับตั้งแต่เปิดตัว
พร้อมกันนั้น ตลาดซื้อขายแบบรวมศูนย์ (CEXs) รายงานว่า ปริมาณบิทคอยน์คงเหลือในระบบลดลงแตะระดับ 2.83 ล้านเหรียญ ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 6 ปี สะท้อนภาวะอุปทานที่ตึงตัวและแรงกดดันด้านดีมานด์ที่เพิ่มสูงขึ้น
ด้านไรอัน ลี (Ryan Lee) หัวหน้านักวิเคราะห์จาก Bitget ระบุว่า หากแรงหนุนจาก ETF ยังคงต่อเนื่องทำให้บิทคอยน์มีโอกาสทดสอบระดับ 130,000 ดอลลาร์ ได้ในระยะสั้น และยังประเมินว่า อีเธอเรียม อาจฟื้นตัวกลับสู่ช่วง 4,800–5,000 ดอลลาร์ ตามแรงส่งของบิทคอยน์และอัปเกรดระบบที่กำลังจะมาถึง
“การปรับขึ้นรอบนี้สะท้อนถึงความแข็งแกร่งและการบูรณาการของตลาดคริปโตเข้ากับระบบการเงินดั้งเดิม” ลี กล่าว พร้อมเสริมว่า การเข้ามาของสถาบันการเงินรายใหญ่คือแรงขับเคลื่อนสำคัญในระยะยาวของตลาดคริปโต
ซัพพลายบิทคอยน์ต่ำสุดรอบหลายปี หนุนแนวโน้มขาขึ้นต่อเนื่อง
นักวิเคราะห์มองว่า การปรับตัวขึ้นของบิตคอยน์ในรอบนี้เป็นไปตามวัฏจักรของตลาดคริปโตช่วงต้นของตลาดกระทิง (bull run) โดยนักลงทุนมักเลือกลงทุนในบิทคอยน์ก่อน เนื่องจากเป็นสินทรัพย์ที่มีเสถียรภาพและปลอดภัยมากกว่าเหรียญทางเลือก (altcoins)
ขณะที่ชิวัม ธักราล (Shivam Thakral) ซีอีโอของ BuyUcoin กล่าวเสริมว่า “การพุ่งขึ้นของบิทคอยน์ถือเป็นเรื่องปกติในช่วงเริ่มต้นของตลาดขาขึ้น นักลงทุนมักจะเข้าซื้อบิทคอยน์ก่อน แล้วจึงค่อยโยกไปยังเหรียญอื่นเมื่อเริ่มทำกำไร”
เขายังระบุว่า ตลาดอัลท์คอยน์ยังไม่ตาย แต่เพียงชะลอตัวเพื่อรอรอบใหม่ “เมื่อบิทคอยน์เริ่มพักฐานและนักเทรดเริ่มทำกำไร เหรียญอย่างอีเธอเรียม โซลานา และเชนลิงก์จะกลับมาโดดเด่นอีกครั้ง”
ปัจจุบัน ระดับแนวรับที่ 117,300 ดอลลาร์ ยังคงแข็งแกร่ง ขณะที่แรงซื้อจากกองทุนและนักลงทุนรายใหญ่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง หากโมเมนตัมนี้ยังดำเนินต่อไป บิทคอยน์มีแนวโน้มทดสอบระดับ 140,000 ดอลลาร์ ภายในไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า
ตลาดคริปโตเข้าสู่ยุคใหม่ของความเชื่อมั่นและความเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย
อย่างไรก็ตามการพุ่งขึ้นของบิทคอยน์ในรอบนี้ไม่ใช่เพียงกระแสเก็งกำไรระยะสั้น แต่เป็นการสะท้อนถึง “การเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้าง” ของตลาดการเงินโลก เมื่อความไม่แน่นอนทางการเมืองและการคลังผลักให้นักลงทุนหันเข้าหาสินทรัพย์ที่อยู่นอกการควบคุมของรัฐและธนาคารกลาง ส่งผลให้บิทคอยน์จึงกลายเป็น “ทองคำแห่งศตวรรษที่ 21” ที่ได้รับความเชื่อมั่นจากทั้งรายย่อยและสถาบัน ท่ามกลางโลกที่เงินเฟ้อสูง หนี้พุ่ง และรัฐบาลยังคงพิมพ์เงินไม่หยุด เพื่อซื้อเวลาแห่งเสถียรภาพทางการเมือง
ทั้งนี้การทุบสถิติครั้งนี้จึงอาจเป็นมากกว่าเพียง “Uptober” ของนักเทรด แต่มันคือสัญญาณการเปลี่ยนขั้วของความเชื่อมั่นในระบบเศรษฐกิจโลก จากเงินกระดาษที่ถูกกัดกร่อนด้วยหนี้ ไปสู่สินทรัพย์ดิจิทัลที่ยืนหยัดด้วยความเชื่อมั่นของผู้คน