xs
xsm
sm
md
lg

เงินเฟ้อ-หนี้สาธารณะพุ่ง เขย่าความเชื่อมั่นสกุลเงินหลัก นักลงทุนแห่หนีเข้าบิทคอยน์-ทองคำ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ความผันผวนทางการคลังและความไม่แน่นอนทางการเมืองทั่วโลกจุดกระแส “Debasement Trade” หรือการเทขายสินทรัพย์สกุลเงินหลัก หันเข้าหาที่หลบภัยอย่างบิทคอยน์ ทองคำ และโลหะมีค่า ขณะที่ค่าเงินเยน-ดอลลาร์-ยูโร ต่างร่วงแรงสะท้อนวิกฤตศรัทธาต่อเงินกระดาษ

แรงกดดันจากหนี้สาธารณะระดับสูงและความไม่แน่นอนทางการเมืองในประเทศเศรษฐกิจหลัก กำลังเร่งให้เกิดการโยกย้ายเงินทุนครั้งใหญ่เข้าสู่สินทรัพย์ทางเลือก โดยเฉพาะ บิทคอยน์ ทองคำ และเงิน (silver) ซึ่งถูกมองว่าเป็นเกราะป้องกันความเสื่อมค่าของเงินเฟียต (fiat currencies)

รายงานจากบลูมเบิร์ก (Bloomberg) เมื่อวันจันทร์ระบุว่า “กระแสการหนีเงินเฟ้อ” หรือที่เรียกว่า Debasement Trade กำลังกลับมาแรงอีกครั้ง หลังหนี้สาธารณะทั่วโลกพุ่งสูงต่อเนื่องและผู้นำหลายประเทศเดินหน้าใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจโดยไม่คำนึงภาระการคลังในระยะยาว

เยนทรุดหนักหลัง ‘ทาคาอิชิ’ นำโพลนายกฯ ญี่ปุ่น - ดอลลาร์ - ยูโรไม่รอด

ขณะที่ค่าเงินเยนญี่ปุ่นร่วง 1.6% ในวันจันทร์หลัง ซาเนะเอะ ทาคาอิชิ (Sanae Takaichi) ส.ส.สายกระตุ้นเศรษฐกิจ ขึ้นนำในการชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ทำให้นักลงทุนหมดหวังต่อการคุมเข้มนโยบายการเงินในระยะสั้น ส่งผลให้เยนร่วงแตะระดับต่ำสุดเมื่อเทียบกับทั้งบิทคอยน์ และ ทองคำ

ในขณะเดียวกัน ดอลลาร์สหรัฐ ฯ ก็อ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง จากแรงกดดันของวิกฤตหนี้ภาครัฐและภาวะปิดหน่วยงานรัฐบาล (shutdown) ที่ยืดเยื้อ โดยนับตั้งแต่ต้นปี ดอลลาร์สูญเสียมูลค่ากว่า 30% เมื่อเทียบกับบิทคอยน์

ฝั่งยุโรปก็ไม่ต่างกัน ยูโรอ่อนค่า 0.1% เมื่อเทียบกับดอลลาร์ ท่ามกลางความตึงเครียดทางการเมืองในฝรั่งเศสและหนี้สาธารณะที่พุ่งสูง ซึ่งยิ่งเพิ่มความกังวลในตลาดทุนโลก

เงินกระดาษสะเทือนศรัทธา - บิตคอยน์และทองคำทุบสถิติใหม่

ในขณะที่ค่าเงินหลักพากันอ่อนแรง บิตคอยน์กลับทะยานขึ้นเหนือระดับ 125,000 ดอลลาร์สหรัฐทำสถิติสูงสุดใหม่ตลอดกาล ขณะที่ ทองคำ และ เงิน (silver) ต่างพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบหลายปีเช่นกัน

ด้านคริส เวสตัน (Chris Weston) หัวหน้าฝ่ายวิจัยของ Pepperstone Group วิเคราะห์ว่า การเร่งเข้าซื้อสินทรัพย์เหล่านี้คือ “การเทรดตามโมเมนตัมคลาสสิก” ที่ขับเคลื่อนด้วยแรงกดดันจากความวุ่นวายทางการเมืองและความกลัวเงินเฟ้อ “นี่คือช่วงที่คุณต้องอยู่ในเกม ไม่ใช่ข้างสนาม” เขากล่าวอย่างเฉียบคม

ด้านนักวิเคราะห์ของ เจพีมอร์แกน (JPMorgan) ออกโน้ตวิจัยเมื่อวันที่ 3 ต.ค. ระบุว่า ความวุ่นวายทางการเมืองในวอชิงตันและพฤติกรรมของดอลลาร์ที่อ่อนค่าซ้ำรอยเดิม กำลังผลักให้นักลงทุนหันกลับมาถือทองคำและบิตคอยน์มากขึ้น คล้ายช่วงวิกฤตการเงินปี 2008 ที่นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจรุนแรงทำให้มูลค่าเงินเฟียตสั่นคลอน

แม้ ดัชนี Bloomberg Dollar Spot Index จะฟื้นขึ้นเล็กน้อยในวันจันทร์ แต่โดยรวมดอลลาร์ยังอ่อนค่ากว่า 8% ตั้งแต่ต้นปี สะท้อนแรงเทขายสินทรัพย์สกุลเงินหลักที่ยังไม่จบง่าย ๆ

บิทคอยน์ขึ้นแท่นสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยง “Uptober” กลับมาอีกครั้ง

ข้อมูลจาก CoinMarketCap ระบุว่า บิทคอยน์พุ่งแตะระดับสูงสุดใหม่ที่ 125,700 ดอลลาร์ เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ทะลุสถิติเดิมที่ 124,500 ดอลลาร์ในเดือนสิงหาคม และยังทำจุดต่ำสุดรายเดือนที่ 107,800 ดอลลาร์ในเดือนก่อนหน้า ก่อนกลับมาทะยานขึ้นอย่างร้อนแรงในเดือนตุลาคม ซึ่งนักเทรดเรียกกันติดปากว่า “Uptober”

ตลาดซื้อขายแบบรวมศูนย์ (CEXs) ยังรายงานว่า ปริมาณบิตคอยน์คงเหลือในระบบลดลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 6 ปี บ่งชี้ถึงภาวะอุปทานตึงตัวท่ามกลางความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้นของนักลงทุนรายใหญ่และรายย่อยทั่วโลก

บริษัท Strategy Inc. เปิดเผยว่า มูลค่าการถือครองบิตคอยน์ของบริษัทพุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 77.4 พันล้านดอลลาร์ จากการเริ่มสะสมตั้งแต่ปี 2020 ที่มูลค่าเพียง 2.1 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นกว่า 35 เท่าในรอบ 5 ปี

เมื่อ “Debasement Trade” กลับมาครองเวทีโลก

สถานการณ์ปัจจุบันสะท้อนการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของตลาดการเงินโลกอย่างชัดเจน การเสื่อมศรัทธาต่อสกุลเงินหลักที่เคยมั่นคง กลับกลายเป็นแรงผลักให้นักลงทุนหันเข้าหาสินทรัพย์ที่ไม่อยู่ภายใต้การควบคุมของธนาคารกลาง

บิทคอยน์และทองคำ จึงไม่ใช่แค่สินทรัพย์เก็งกำไรอีกต่อไป แต่กำลังกลายเป็น “สินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยง” ตัวจริงของยุคที่รัฐบาลทั่วโลกยังคงเดินหน้ากู้เงิน พิมพ์เงิน และกระตุ้นเศรษฐกิจโดยไม่หยุดยั้ง

กระแสนี้อาจเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการปรับสมดุลครั้งใหญ่ในระบบการเงินโลก - เมื่อ “ความเชื่อมั่น” ในเงินกระดาษเริ่มถูกท้าทาย และ “สินทรัพย์ดิจิทัล” กำลังกลายเป็นมาตรวัดศรัทธาใหม่ของเศรษฐกิจโลกยุคหลังเงินเฟียต