นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้(7ต.ค.68) ที่ระดับ 32.47 บาทต่อดอลลาร์ “ทรงตัว ไม่เปลี่ยนแปลง”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา และมองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.35-32.60 บาท/ดอลลาร์ โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) เคลื่อนไหวไร้ทิศทางที่ชัดเจน (Sideways) (แกว่งตัวในกรอบ 32.36-32.49 บาทต่อดอลลาร์) โดยแม้ว่า เงินบาทจะพอได้แรงหนุนบ้าง หลังเงินดอลลาร์จะย่อตัวลงบ้าง ตามแรงขายทำกำไรของผู้เล่นในตลาด หลังเงินดอลลาร์ได้พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องในช่วงวันก่อนหน้า ตามการอ่อนค่าลงหนักของเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ตอบรับความคาดหวังของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มการดำเนินนโยบายต่างๆ ของว่าที่นายกฯ Sanae Takaichi ทีมีแนวโน้มสอดคล้องกับนโยบาย Abenomics
ทว่า เงินบาทก็เผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่า หลังการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำ กลับไม่ได้ทำให้ผู้เล่นในตลาดทยอยขายทำกำไร แต่เริ่มมีการทยอยเข้าซื้อทองคำมากขึ้น สะท้อนผ่านความสัมพันธ์ระหว่างเงินบาทกับทองคำที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัด นอกจากนี้ การอ่อนค่าลงของเงินเยนญี่ปุ่นก็มีส่วนกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลง ผ่านโฟลว์ธุรกรรมซื้อ JPYTHB ของผู้เล่นในตลาด อีกทั้ง เงินบาทก็ถือว่าเป็นหนึ่งในสกุลเงินที่อ่อนไหวต่อการปรับตัวของเงินเยนญี่ปุ่นพอสมควร (Beta/Sensitivity ราว 0.41) อย่างไรก็ดี การอ่อนค่าของเงินบาทยังคงถูกชะลอลงแถวโซนแนวต้าน 32.50 บาทต่อดอลลาร์ ตามแรงขายเงินดอลลาร์และการปรับสถานะถือครองของผู้เล่นในตลาด
สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของบรรดาธนาคารกลางหลัก ทั้ง เฟด และ ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ผ่านถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางดังกล่าว โดยเฉพาะในฝั่งเฟด เนื่องจากผู้เล่นในตลาดยังคงเผชิญภาวะ Data Blindness หลังภาวะ Government Shutdown ของสหรัฐฯ ได้ทำให้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ อย่าง ข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ ถูกเลื่อนประกาศออกไป
และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม พัฒนาการของสถานการณ์การเมืองสหรัฐฯ หลังเข้าสู่ภาวะ Government Shutdown รวมถึงสถานการณ์การเมืองฝรั่งเศส หลังนายกฯ ประกาศลาออก
สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เราคงมุมมองเดิมว่า โมเมนตัมการอ่อนค่าของเงินบาทยังมีกำลังอยู่ และเงินบาทได้กลับสู่แนวโน้มอ่อนค่าลง (อย่างน้อยในระยะสั้น) และอาจต้องจับตาอย่างใกล้ชิดว่า เงินบาทจะสามารถอ่อนค่าทะลุโซนแนวต้าน 32.50 บาทต่อดอลลาร์ ได้อย่างชัดเจนหรือไม่ เพราะการอ่อนค่าทะลุโซนดังกล่าว อาจยิ่งกดดันเงินบาทเพิ่มเติม ผ่านการปรับสถานะถือครองของผู้เล่นในตลาดที่มีสถานะ Long THB (มองเงินบาทแข็งค่าขึ้น) อย่างไรก็ดี การอ่อนค่าทะลุโซนแนวต้าน 32.50 บาทต่อดอลลาร์ อย่างชัดเจนและต่อเนื่อง อาจไม่ได้ง่ายนัก เนื่องจากบรรดาผู้เล่นในตลาด อย่าง ฝั่งผู้ส่งออก ต่างก็รอทยอยขายเงินดอลลาร์ หากเงินบาทอ่อนค่าลงทดสอบโซนแนวต้านดังกล่าว อนึ่ง หากเงินบาทอ่อนค่าทะลุโซนแนวต้าน 32.50 บาทต่อดอลลาร์ ได้สำเร็จ ก็มีแนวโน้มจะอ่อนค่าลงต่อเนื่องทดสอบโซน 32.65 บาทต่อดอลลาร์ ได้
อย่างไรก็ดี ในช่วงนี้ แม้ตลาดจะเผชิญภาวะ Data Blindness จากผลกระทบจากภาวะ Government Shutdown ของสหรัฐฯ ทว่า เงินดอลลาร์ก็ดูจะพอได้แรงหนุนบ้าง จากการอ่อนค่าลงของบรรดาสกุลเงินหลัก ทั้ง เงินเยนญี่ปุ่น (JPY) และเงินยูโร (EUR) ซึ่งเผชิญแรงกดดันจากปัจจัยการเมืองในประเทศ โดยจากการวิเคราะห์ข้อมูลในอดีตย้อนหลังตั้งแต่ปี 2018 เราพบว่า เงินบาทมีความอ่อนไหวต่อการปรับตัวของเงินเยนญี่ปุ่นพอสมควร โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับบรรดาสกุลเงินหลักและสกุลเงินฝั่งเอเชีย โดยมีค่า Beta/Sensitivity ราว 0.41 (เป็นรองแค่ เงินวอนเกาหลี ที่มี Beta กับเงินเยนญี่ปุ่น 0.45) ทำให้ในช่วงนี้ หากเงินเยนญี่ปุ่นทยอยอ่อนค่าลงต่อได้บ้าง ก็อาจยังเป็นปัจจัยกดดันเงินบาท ทว่า เราประเมินว่า การอ่อนค่าของเงินเยนญี่ปุ่นจะเป็นไปอย่างจำกัด เนื่องจากผู้เล่นในตลาดส่วนใหญ่ รวมถึงเรา ยังคงประเมินว่า เงินเยนญี่ปุ่นยังมีแนวโน้มทยอยแข็งค่าขึ้นได้ ตามการทยอยขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) รวมถึงภาพเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้น ตามนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจการคลังของว่าที่นายกฯ Sanae Takaichi และแรงซื้อสินทรัพย์ญี่ปุ่นจากบรรดานักลงทุนต่างชาติ ทำให้ เราขอย้ำมุมมองเดิมว่า Buy JPY (และ JPYTHB) on Dip ยังเป็น Trade Ideas ที่น่าสนใจ