ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง (ตม.1) เปิดปฏิบัติการสะท้านโลก รวบหนุ่มโปรตุเกสสแกมเมอร์ระดับอินเตอร์ คดีฉ้อโกงคริปโตฯ และบัตรเครดิต มูลค่าความเสียหายกว่า 19,000 ล้านบาท หลังซ่อนตัวในไทยนานเกือบ 2 ปี ก่อนจนมุมกลางห้างดังย่านพระราม 1
ปฏิบัติการไล่ล่าข้ามชาติ
เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม พล.ต.ท.ภาณุมาศ บุญญลักษม์ ผบช.สตม. สั่งการ พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม. พล.ต.ต.ประสาธน์ เขมะประสิทธิ์ ผบก.ตม.1 พร้อมด้วย พ.ต.ท.สุริยะ พ่วงสมบัติ รอง ผกก.สืบสวน บก.ตม.1 และชุดทำงาน ลงพื้นที่ติดตามตัวนักต้มตุ๋นชื่อกระฉ่อนโลก หลังได้รับข้อมูลจากสื่อโปรตุเกสว่าชายชาวโปรตุเกสรายนี้เข้ามากบดานในไทย และยังมีหมายจับคดีฉ้อโกงในประเทศ
เป้าหมายคือ นายคาร์ลอส ลาโปโซ่ (Carlos Laposo) อายุ 39 ปี ชาวลิสบอน โปรตุเกส ผู้ต้องหาที่ถูกสื่อต่างประเทศขนานนามว่าเป็น “นักต้มตุ๋นพระกาฬ” ก่อคดีฉ้อโกงคริปโตและบัตรเครดิตในหลายประเทศทั้งยุโรปและเอเชีย โดยทีมสืบสวนไทยได้นำภาพใบหน้าที่สื่อโปรตุเกสเผยแพร่ มาเปรียบเทียบกับระบบไบโอเมตริกซ์จนยืนยันตัวบุคคลได้ชัดเจน
เส้นทางหนีในไทยนาน 2 ปี
จากการตรวจสอบพบว่า นายคาร์ลอสเดินทางเข้ามาไทยตั้งแต่ปี 2566 ในฐานะนักท่องเที่ยว ก่อนจะก่อคดีฉ้อโกงลงทุนบิตคอยน์ในกรุงเทพฯ ความเสียหายกว่า 1 ล้านบาท แต่ต่อมาหมายจับในไทยถูกถอนออกจากระบบ เจ้าตัวจึงหลบหนีไปกบดานในภาคใต้และหายตัวไปเกือบ 2 ปี โดยไม่ต่อวีซ่าหรือแจ้งที่พักอาศัย
จนกระทั่งเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม เวลา 15.00 น. มีนักท่องเที่ยวชาวโปรตุเกสแจ้งเบาะแสว่าพบชายต้องสงสัยใจกลางกรุงเทพฯ เจ้าหน้าที่จึงตรวจสอบกล้องวงจรปิดหลายจุด จนพบเป้าหมายที่ถนนพระราม 1 ใกล้ห้างดัง จึงระดมกำลังสืบสวนกว่า 10 นาย แฝงตัวค้นหาภายในห้างนานกว่า 5 ชั่วโมง ก่อนพบชายชาวต่างชาติตรงกับรูปพรรณเป้าหมาย ยืนโทรศัพท์ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด จึงแสดงตัวตรวจสอบ พบวีซ่าสิ้นสุดตั้งแต่ปี 2566 และเจ้าตัวยอมรับว่าอยู่เกินกำหนดจริง
เชื่อมโยงคดีระดับโลก มูลค่าความเสียหายมหาศาล
ข้อมูลจากตำรวจสากลและสื่อโปรตุเกสระบุว่า คาร์ลอสก่อคดีฉ้อโกงต่อเนื่องทั้งในยุโรปและเอเชีย ก่อนหลบหนีไปฟิลิปปินส์ และมาจนมุมที่ประเทศไทย ความเสียหายรวมถูกประเมินว่ามีเงินหมุนเวียนในบัญชีธนาคารสวิสกว่า 500 ล้านยูโร หรือประมาณ 19,000 ล้านบาท โดยรูปแบบการก่อเหตุมีตั้งแต่หลอกลงทุนคริปโตฯ ปลอมบัตรเครดิต ไปจนถึงการใช้หนังสือเดินทางปลอม
เตรียมส่งตัวกลับประเทศ
เบื้องต้น ตำรวจแจ้งข้อหาเป็นคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด และเตรียมบันทึกชื่อเป็นบุคคลต้องห้าม ก่อนดำเนินการส่งตัวกลับประเทศโปรตุเกสตามกฎหมายคนเข้าเมือง
อย่างไรก็ดีการจับกุมครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความร่วมมือระหว่างสื่อและหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายระหว่างประเทศ พร้อมย้ำให้เห็นว่าไทยยังเป็นเป้าหมายการหลบซ่อนของนักต้มตุ๋นระดับโลก แต่กฎหมายและเทคโนโลยีด้านตรวจคนเข้าเมืองสามารถปิดเกมได้อย่างเฉียบขาด