การยอมรับที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วทั่วโลกกำลังส่งให้บิตคอยน์กลายเป็นสินทรัพย์เชิงเศรษฐศาสตร์มหภาค รายงานล่าสุดชี้การยอมรับบิตคอยน์ถือเป็น “การแข่งขันเชิงทฤษฎี” ในหมู่ประเทศต่างๆ ที่ต้องการทางเลือกแทนสินทรัพย์สำรองดั้งเดิม โดยขณะนี้มี 27 ประเทศที่ครอบครองคริปโตสกุลนี้ในรูปแบบต่างๆ ซึ่งมีการบังคับใช้เป็นกฎหมาย ขณะที่อีก 13 ประเทศอยู่ระหว่างดำเนินการ
รายงานการศึกษาของสถาบันนโยบายบิตคอยน์ที่เผยแพร่เมื่อวันจันทร์ (22 ก.ย.) ระบุว่า รัฐบาลประเทศต่างๆ ยอมรับบิตคอยน์เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วภายหลังจากที่โดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ และออกคำสั่งฝ่ายบริหารให้จัดตั้งกองทุนสำรองบิตคอยน์เชิงยุทธศาสตร์
รายงานระบุว่า ปัจจุบันมี 27 ประเทศที่ถือครองบิตคอยน์ และอีก 13 ประเทศกำลังเสนอกฎหมายเพื่อครอบครองบีทีซี
การครอบครองบิตคอยน์ของประเทศเหล่านี้มีหลายวิธี และบางประเทศอาจใช้หลายวิธีพร้อมกัน เช่น รัฐบาลอาร์เจนตินาที่สนับสนุนเหมืองขุดบิตคอยน์ที่ใช้ก๊าซธรรมชาติส่วนเกินจากการขุดเจาะน้ำมัน ควบคู่กับการเสนอกฎหมายเพื่อจัดตั้งกองทุนสำรองเชิงยุทธศาสตร์
สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) มีทั้งเหมืองขุดที่ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ กองทุนความมั่งคั่งแห่งรัฐที่ลงทุนใน Bitcoin ETF อีกทั้งยอมรับการชำระภาษีด้วยบิตคอยน์
กองทุนสำรองบิตคอยน์เชิงยุทธศาสตร์ (เอสบีอาร์) เป็นแนวทางที่ได้รับความนิยมสูงสุด โดยมี 16 ประเทศกำลังเสนอร่างกฎหมายหรือบังคับใช้เป็นกฎหมายแล้ว
คำสั่งฝ่ายบริหารของทรัมป์กำหนดให้รัฐบาลกลางถือครองแทนที่จะขายบิตคอยน์ที่ยึดมาได้ ซึ่งคาดว่า อาจมีมูลค่าถึง 17,000 ล้านดอลลาร์ หากไม่มีการขายออกไปก่อนหน้านี้
แอริโซนา นิวแฮมป์เชียร์ และเทกซัสอนุมัติกฎหมายจัดตั้งกองทุนสำรองบิตคอยน์ของรัฐ และอีกหลายสิบมลรัฐในอเมริกากำลังพิจารณาแนวทางเดียวกันนี้
นอกจากแนวทางเอสบีอาร์แล้ว เหมืองขุดบิตคอยน์ที่ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐเป็นวิธีการที่แพร่หลายอันดับ 2 โดยมี 14 ประเทศดำเนินการอยู่หรือกำลังเสนอดำเนินการ
ปัจจุบัน มี 10 ประเทศที่ทำเหมืองขุดบิตคอยน์ผ่านข้อตกลงการซื้อไฟฟ้าที่จะมีการแบ่งปันกำไรจากการสะสมบิตคอยน์ อาร์เจนตินา ภูฏาน เอลซัลวาดอร์ เอธิโอเปีย อิหร่าน เกาหลีเหนือ โอมาน รัสเซีย ยูเออี และเวเนซุเอลา ล้วนมีหรือเคยมีโครงการเหมืองบิตคอยน์ที่ดำเนินการโดยรัฐบาล
นอกจากนั้นยังมี 7 ประเทศที่ถือครองบิตคอยน์แบบพาสสีฟ ซึ่งรวมถึงคริปโตที่ยึดมาได้และรัฐบาลเลือกที่จะไม่ขาย ได้แก่ บัลแกเรีย จีน ฟินแลนด์ จอร์เจีย อินเดีย สหราชอาณาจักร และเวเนซุเอลา
อีก 4 ประเทศยอมรับการชำระภาษีด้วยบิตคอยน์ในบางเขตอำนาจศาล เช่น ปานามาซิตี้ รัฐต่างๆ ในสวิตเซอร์แลนด์ ดูไบ และรัฐโคโลราโดของอเมริกา ขณะที่แวนคูเวอร์ของแคนาดากำลังเสนอกฎหมายในลักษณะนี้
คริปโตสเลตรายงานว่า กองทุนบำเหน็จบำนาญและกองทุนความมั่งคั่งของรัฐเป็นอีกช่องทางในการเข้าถึงบิตคอยน์ เช่น กองทุนบำเหน็จบำนาญของรัฐมิชิแกนที่ลงทุนโดยตรงในบิตคอยน์ ขณะที่กองทุนบำเหน็จบำนาญของอีก 17 รัฐในอเมริกาเข้าถึงทางอ้อมผ่านการถือครองเชิงยุทธศาสตร์
กองทุนบำเหน็จบำนาญของญี่ปุ่นกำลังสำรวจการลงทุนโดยตรงในบิตคอยน์ และกองทุนบำเหน็จบำนาญของเกาหลีใต้จัดสรรเงินทุนก้อนใหญ่ลงทุนเชิงยุทธศาสตร์ในบีทีซี
รายงานของสถาบันนโยบายบิตคอยน์ระบุว่า การยอมรับบิตคอยน์ถือเป็น “การแข่งขันเชิงทฤษฎี” ในหมู่ประเทศต่างๆ ที่ต้องการทางเลือกแทนสินทรัพย์สำรองดั้งเดิม หลายประเทศมองว่า บิตคอยน์ช่วยเติมเต็มการสำรองทองคำ เนื่องจากมีข้อได้เปรียบในการโอนย้ายแบบดิจิทัลที่สินทรัพย์ทางกายภาพไม่มี
นอกจากนั้นบิตคอยน์ยังสามารถต้านทานการแซงก์ชัน และนำเสนอการชำระเงินข้ามพรมแดนโดยตรงโดยไม่ต้องใช้ดอลลาร์เป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยน
รายงานสรุปว่า ปัจจุบัน มหาอำนาจในทุกภูมิภาคต่างมองบิตคอยน์เป็นสินทรัพย์เชิงเศรษฐศาสตร์มหภาค ทำให้ปรากฎการณ์นี้ไม่มีแนวโน้มย้อนกลับ