ตลาด Non-Fungible Token (NFT) ทั่วโลกกำลังเผชิญภาวะปรับฐานครั้งสำคัญหลังยุคบูมสุดฟู่ โดยมีสงครามแพลตฟอร์มและกลยุทธ์การแข่งขันใหม่เป็นตัวเร่ง ซึ่งส่งผลให้อันดับผู้นำตลาดเปลี่ยนแปลงไป ล่าสุดนักเทรดผู้ใช้งานกลุ่มแรกของ Hyperliquid ได้รับรางวัลใหญ่จากการ airdrop Hypurr NFT “แมวคริปโต” ที่มีมูลค่าพุ่งทะยานเฉียดครึ่งล้านดอลลาร์ สะท้อนพลังตลาดดิจิทัลแอสเซตที่พร้อมสร้างมูลค่าจากคอนเซ็ปต์ที่ดูเรียบง่ายแต่กลับพลิกเป็นทองคำ ขณะที่ชุมชนคริปโตทั่วโลกตั้งคำถาม "Hypurr จะกลายเป็นผู้นำตลาด NFT รุ่นใหม่หรือไม่? หรือแรงฮึดเฮือกสุดท้ายก่อนตายถาวร
ผู้ใช้งานยุคแรกของ Hyperliquid บล็อกเชนเลเยอร์ 1 ที่เน้นตลาด perpetuals ได้รับรางวัลจาก Hyper Foundation ด้วยการ airdrop คอลเลกชัน Hypurr NFT ซึ่งเป็นคอลเลกชันภาพการ์ตูนแมวหลากหลายสไตล์ โดยทันทีที่เปิดซื้อขาย มูลค่าของ NFT เหล่านี้ก็พุ่งทะยานจนสร้างความฮือฮาในวงการ
ข้อมูลจาก OpenSea ระบุว่า ราคาพื้นฐาน (floor price) ของ Hypurr อยู่ที่ราว 1,458 HYPE หรือประมาณ $68,700 ต่อใบ แต่สิ่งที่ทำให้ตลาดสะเทือนคือการซื้อขาย Hypurr #21 ที่มีคุณสมบัติหายาก “Knight Ghost Armor” และ “Knight Helm Ghost” ซึ่งปิดดีลที่ 9,999 HYPE หรือคิดเป็นมูลค่ากว่า $467,000 ในวันอาทิตย์ที่ผ่านมา
ก่อนหน้านี้ ความต้องการสูงได้ผลักดันให้เกิดการซื้อขายล่วงหน้าผ่าน OTC desks โดยบางรายการมีมูลค่าสูงถึง $88,000 ต่อใบตามข้อมูลจาก DripTrade ระบบ OTC ที่เปิดโอกาสให้ผู้ซื้อ-ผู้ขายตกลงราคากันก่อนลิสต์ลงตลาด โดยผู้ขายต้องส่งมอบ NFT ภายใน 7 วันหลังได้รับโทเคน มิฉะนั้นจะถูกยึดหลักประกัน
ปรากฏการณ์นี้จุดกระแสถกเถียงในโลกโซเชียลมีเดียท่ามกลางวิกฤติค่าครองชีพทั่วโลก เมื่อภาพการ์ตูนแมวที่แจกฟรีกลับมีมูลค่ามากกว่ารายได้ทั้งปีของคนจำนวนมาก ผู้ใช้ X นาม MoonOverlord ประชดว่า “CT เป็นเหมือนขุมนรกในโลกจริงๆ คนทั่วไปยังดิ้นรนซื้ออาหาร แต่บางคนโพสต์อวดแมว NFT $50,000 ที่ได้มาฟรีๆ” ขณะที่ DidiTrading โพสต์ว่า “ผมได้รับ Hypurr NFT มูลค่า $50,000 แต่ไม่ถนัดประเมินราคา ขอรอให้ตลาดหาสมดุลก่อนจะตัดสินใจว่าจะทำอย่างไร”
Hypurr NFT ของสะสมที่เป็นตัวเปลี่ยนเกม? หรือเกมส์ปั่นราคาของนักเทรด
คอลเลกชัน Hypurr ถูก deploy บน HyperEVM เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา โดยออกแบบเป็นการ์ตูนแมวที่มีคุณสมบัติเฉพาะหลากหลาย แต่ละใบถูกสร้างขึ้นเพื่อมอบเป็นของที่ระลึกแก่ผู้เข้าร่วมกิจกรรม “Genesis” เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2567 ซึ่งเป็นช่วงเปิดตัวโทเคน HYPE
คอลเลกชันนี้มีทั้งหมด 4,600 ใบ โดย 4,313 ใบถูกแจกให้ผู้ร่วมกิจกรรม Genesis ส่วนที่เหลือแบ่งให้กับ Hyper Foundation และผู้ร่วมพัฒนาหลัก ตามประกาศอย่างเป็นทางการบน X โดย Hyper Foundation ระบุว่า “Hypurr NFT ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ระลึกสำหรับผู้ที่เชื่อมั่นและสนับสนุน Hyperliquid ตั้งแต่แรกเริ่ม แต่ละใบสะท้อนบุคลิกและเอกลักษณ์ของชุมชนในรูปแบบที่แตกต่างกัน”
ข้อมูลจาก OpenSea ระบุว่าภายใน 24 ชั่วโมงแรก มีการซื้อขายรวมกว่า 952,000 HYPE หรือคิดเป็นมูลค่าราว $44.6 ล้าน สะท้อนความร้อนแรงที่ดึงดูดทั้งนักลงทุนหน้าใหม่และนักสะสมมืออาชีพเข้าสู่สนาม Hypurr
Hypurr จะพลิกตลาด NFT ได้หรือไม่? หรือเป็นลมหายใจเฮือกสุดท้ายก่อนตายถาวร
การประสบความสำเร็จของ Hypurr NFT สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนโฉมตลาดดิจิทัล ที่มูลค่าถูกสร้างจากความขาดแคลน ความแปลกใหม่ และความเชื่อมั่นในชุมชน ปรากฏการณ์นี้ยังเปิดประเด็นสำคัญว่า NFT ในยุคถัดไปอาจไม่ได้วัดกันที่ศิลปะเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเรื่องของการสร้างค่านิยมและเอกลักษณ์ร่วมของผู้ใช้ หาก Hypurr สามารถรักษากระแสนี้ไว้ได้ ก็อาจก้าวขึ้นเป็น “blue chip” รุ่นใหม่ของตลาด NFT ได้ไม่ยาก ในขณะเดียวกันเจ้าตลาด NFT ก่อนหน้านี้ที่มูลค่าลดลงฮวบฮาบ จนสร้างความเสียหายให้กับนักลงทุนนับรวมกว่าพันล้านดอลล่าร์
บลู เปิดศึกแย่งชิงบัลลังก์ผู้นำ
ข้อมูลล่าสุดจาก Dune Analytics ซึ่งถูกอ้างอิงโดย Bloomberg รายงานว่า "บลู" (Blur) แพลตฟอร์มที่ออกแบบมาสำหรับนักเทรดมืออาชีพ ได้แซงหน้า "โอเพนซี" (OpenSea) ขึ้นเป็นตลาด NFT ที่มีส่วนแบ่งการตลาดสูงที่สุดแล้ว โดยบลูสามารถดึงดูดผู้ใช้ด้วยโมเดลให้รางวัลโทเคน BLUR และค่าธรรมเนียมการซื้อขายที่ต่ำกว่า
ขณะที่ Reuters วิเคราะห์ว่าการขึ้นมาของบลูสะท้อนถึงการเปลี่ยนผ่านของอุตสาหกรรม จากยุคที่นักสะสมเป็นศูนย์กลาง สู่ยุคที่นักลงทุนสถาบันและเทรดเดอร์ที่มีความคล่องตัวสูงเข้ามามีบทบาทมากขึ้น
โอเพนซี ปรับกลยุทธ์รับการแข่งขัน
ด้านเจ้าตลาดเก่าอย่างโอเพนซี (OpenSea) ตามรายงานของ TechCrunch ระบุว่าจะหยุดนโยบายการไม่คิดค่าธรรมเนียมสำหรับผู้สร้างสรรค์งาน (Zero Creator Fees) ซึ่งเป็นนโยบายที่เคยใช้ตอบโต้บลู นับเป็นการยอมรับว่าการแข่งขันด้วยราคาอย่างเดียวอาจไม่ใช่คำตอบอีกต่อไป
ขณะที่ The Block ออกรายงานเพิ่มเติมว่า โอเพนซีกำลังโฟกัสไปที่การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ รวมถึงการขยายไปยังบล็อกเชนอื่น นอกเหนือจากอีเธีเรียม เพื่อรักษาฐานผู้ใช้เดิมไว้
วอลุ่มเทรดหด แนวโน้มตลาดริบหรี่
ข้อมูลจาก CoinGecko ที่ CNBC นำมาเปิดเผย ชี้ให้เห็นว่าปริมาณการซื้อขาย NFT ทั่วโลกในไตรมาส 3 ของปี 2567 หดตัวลงประมาณ 30% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ซึ่งสะท้อนถึงภาวะตลาดคริปโตโดยรวมที่ยังไม่ฟื้นตัวอย่างเต็มที่
อย่างไรก็ตาม Forbes ยังคงมองในแง่บวก โดยชี้ให้เห็นถึงการเติบโตในเซกเมนต์เฉพาะทาง เช่น
1.เกมบล็อกเชน (GameFi) : ซึ่งโครงการเกมเช่น Axie Infinity และ Gods Unchained ยังคงมีผู้เล่นยุคก่อตั้งที่ยังคงเหนียวแน่นกับเกมส์
2.โซเชียลไฟ (SocialFi) : แพลตฟอร์มอย่าง friend.tech ที่ผสมผสานระหว่างโซเชียลมีเดียและการเทรดโทเคนแสดงถึงเทรนด์ใหม่ที่น่าจับตา
ขณะที่ เจนนา โดนาห์ู นักวิเคราะห์จากบริษัทวิจัย Messari ให้ความเห็นกับ Bloomberg ว่า "ตลาด NFT กำลังผ่านพ้นยุคทองคำ (gold rush) และกำลังก้าวเข้าสู่ยุคที่มีวุฒิภาวะมากขึ้น โดยจะเน้นนวัตกรรมและประโยชน์ใช้สอยที่แท้จริงจะกลายเป็นตัวชี้วัดความสำเร็จ แทนที่การเก็งกำไรเพียงอย่างเดียว"
อย่างไรก็ดีสงครามตลาด NFT ยังไม่จบง่ายๆ การที่บลูสามารถแซงหน้าโอเพนซีได้แสดงให้เห็นว่าไม่มีผู้เล่นคนใดอยู่ยงคงกระพัน การปรับตัวเพื่อหาจุดแข็งและกลุ่มเป้าหมายเฉพาะจะเป็นกุญแจสำคัญสำหรับการอยู่รอดของแพลตฟอร์มต่างๆ ในยุคที่ปริมาณการซื้อขายโดยรวมหดตัวเช่นนี้