xs
xsm
sm
md
lg

"ฟิทช์" หั่น Outlook ไทยเป็น Negative สัญญาณเตือนเสถียรภาพการคลัง รมช.คลังชี้โจทย์ใหญ่รัฐบาล

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



นายวรภัค ธันยาวงษ์ รมช.คลัง โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า Fitch Ratings เพิ่งประกาศปรับมุมมอง (Outlook) ของไทยจาก Stable เป็น Negative โดยยังคงอันดับเครดิตที่ BBB+ โดยเหตุผลหลักไม่ได้อยู่ที่ "ตัวเลข" เพียงอย่างเดียว แต่เป็นเรื่อง ความน่าเชื่อมั่นด้านการคลังและการเมือง

- หนี้สาธารณะสูงขึ้น จากเดิมก่อนโควิดอยู่ราว 3536% ของ GDP ตอนนี้ขึ้นมาแถว 61% และคาดว่าจะไปแตะ 65% ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า หากไม่มีการปรับลดขาดดุลอย่างจริงจัง

- ความไม่แน่นอนทางการเมือง การเปลี่ยนผ่านรัฐบาลและความเสี่ยงจากการเลือกตั้งใหม่ ทำให้ Fitch กังวลว่ากรอบการคลังระยะกลาง (Medium-Term Fiscal Strategy) จะไม่ต่อเนื่องและไม่ชัดเจน

- เศรษฐกิจโตต่ำ ทั้งการส่งออกถูกกดดันจากภาษีสหรัฐฯ 19% และการท่องเที่ยวที่ฟื้นช้ากว่าคาด โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีน ทำให้ GDP ปีหน้าอาจโตได้เพียง 2.2%

แต่สิ่งสำคัญคือ รัฐบาลนี้ แม้อายุเพียง 4 เดือน ก็ไม่ได้เพิกเฉย เราได้เริ่มวางแนวทาง fiscal consolidation เพื่อปรับฐานะการคลังให้กลับมาอยู่ในเส้นทางที่ยั่งยืน

ในเดือน พฤศจิกายน ปีนี้เราจะเห็นการจัดทำ Medium-Term Fiscal Framework (MTFF) ฉบับใหม่ ซึ่งจะเป็นครั้งแรกที่รัฐบาลนี้จะวาง "roadmap" ชัดเจนต่อสาธารณะว่าจะปรับขาดดุลลงอย่างไร เพื่อไม่ให้หนี้หลุดพ้นจาก trajectory ที่ควบคุมได้

แนวคิดหลักคือ สร้างความน่าเชื่อมั่น ว่าการขาดดุลจะทยอยลดลงหลังปีงบประมาณ 2569 และหนี้ต่อ GDP จะ stabilise ในระดับที่ไม่เกิน 65% พร้อมทั้งเพิ่มรายได้ภาครัฐและจัดลำดับรายจ่ายอย่างมีวินัย

นายวรภัค กล่าวว่า มุมมอง Negative ของ Fitch ครั้งนี้ ไม่ได้หมายถึง "วิกฤตใกล้ตัว" แต่เป็นสัญญาณเตือนว่า หากไทยไม่แสดงแผนการคลังที่ชัดเจน ความเชื่อมั่นก็จะสั่นคลอนและนี่คือโจทย์ที่รัฐบาลเราต้องทำให้ได้ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า - เพื่อให้ตลาดและนักลงทุนเห็นว่า ประเทศไทยยังรักษาวินัยการคลังและความน่าเชื่อถือทางเศรษฐกิจได้

*******************

โดยเมื่อวันที่ 24 ก.ย.บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ อิงค์ เป็นหน่วยงานจัดอันดับเครดิตของสหรัฐอเมริกา เป็นหนึ่งในสามองค์กรจัดอันดับทางสถิติที่ได้รับการยอมรับในระดับประเทศ ซึ่งแต่งตั้งโดยสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์แห่งสหรัฐอเมริกาไดมีการจัดแนวโน้มอันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาว (IDR) ของประเทศไทยเป็นลบจากเดิมที่ประเทศไทยมีสเถียรภาพ และคงอันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาวที่ 'BBB+' โดยหนี้สาธารณะของไทยแตะ 59.4% ต่อ GDP ในเดือนสิงหาคม 2568 ใกล้ระดับค่าเฉลี่ยของประเทศกลุ่ม BBB อย่างไรก็ตามอัตราหนี้สาธารณะต่อ GDP ของไทยมีแนวโน้มสูงกว่าประเทศที่มีอันดับเครดิตใกล้เคียง และรายได้จากภาษียังต่ำกว่าศักยภาพ ในขณะที่มีค่าใช้จ่ายเพื่อสวัสดิการและกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น

สาเหตุหลักๆมาจากการเลือกตั้งใหม่น่าจะเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้ โดยอดีตนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร จากพรรคเพื่อไทย ถูกศาลรัฐธรรมนูญปลดออกจากตำแหน่งเมื่อต้นเดือนกันยายน จากกรณีคลิปเสียงโทรศัพท์กับอดีตผู้นำกัมพูชา นายฮุน เซน ในช่วงที่ความตึงเครียดบริเวณชายแดนทวีความรุนแรงขึ้นในเดือนกรกฎาคมและสิงหาคม มีรายงานว่ารัฐบาลเสียงข้างน้อยชุดใหม่ภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวีรกูล จากพรรคภูมิใจไทย ได้ตกลงกับพรรคประชาชน ที่เป็นฝ่ายค้านว่าจะจัดการเลือกตั้งทั่วไปภายในสี่เดือนเพื่อแลกกับการสนับสนุน ซึ่งอาจนำไปสู่แรงกดดันด้านการใช้จ่ายในระยะสั้นและเพิ่มความไม่แน่นอนด้านนโยบาย

ส่วนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทำให้การฟื้นตัวล่าช้า ทางฟิทช์คาดว่าหน่วยงานต่างๆ จะใช้พื้นที่ส่วนใหญ่ที่มีอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์นโยบายการคลัง ซึ่งจะนำไปสู่การขาดดุลงบประมาณ 4.6% ของ GDP ในปีงบประมาณสิ้นสุดเดือนกันยายน 2568 (ปีงบประมาณ 2568) และ 4.3% ในปีงบประมาณ 2569 ซึ่งเหตุดังกล่าวนั้นหมายความว่า มีความเสี่ยงที่แผนการคลังจะถูกกระทบ เพิ่มภาระการขาดดุลและหนี้สาธารณะ

โดยรัฐบาลผสมที่นำโดยพรรคการเมืองชุดก่อนได้แจกจ่ายเงินสดให้กับประชาชนบางส่วนตามที่ได้สัญญาไว้ในการเลือกตั้งปี 2566 และวางแผนโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่บางโครงการ รวมถึงสนามบินแห่งใหม่ใกล้กรุงเทพฯ ซึ่งเชื่อมต่อด้วยรถไฟความเร็วสูง

ขณะที่งบประมาณปีงบประมาณ 2569 ที่เพิ่งได้รับการอนุมัติจากวุฒิสภา ทำให้เป็นที่แน่ชัดว่าจะมีการใช้จ่ายที่น้อยกว่างบประมาณเดิมหลังจากการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลในปีงบประมาณ 2567

ส่วนแนวโน้มเศรษฐกิจ 2569 ฟิทช์คาดว่า GDP ไทยจะเติบโต 2.2% ในปี 2568 และชะลอเหลือ 1.9% ในปี 2569 ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยประเทศ BBB ที่ 2.7% โดยนักท่องเที่ยวต่างชาติ 8 เดือนแรกอยู่ที่ 21.9 ล้านคน ยังห่างจากสถิติปี 2562 ที่ 39.9 ล้านคน ขณะเดียวกันการส่งออกยังเผชิญแรงกดดันจากภาษีนำเข้า 19% ของสหรัฐ

อย่างไรก็ตาม ไทยยังมีจุดแข็งด้านเศรษฐกิจ เนื่องจากมีฐานะการเงินต่างประเทศแข็งแกร่ง ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล และเงินสำรองระหว่างประเทศสูง ขณะที่ภาคเอกชนมีหนี้ต่างประเทศในระดับที่บริหารจัดการได้


กำลังโหลดความคิดเห็น