นายเมธัส รัตนซ้อน หัวหน้าฝ่ายวิจัยเศรษฐกิจ ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (TISCO ESU) กล่าวว่า แนวโน้มเศรษฐกิจไทยในช่วงที่เหลือของปี แม้ว่าภาคการเมืองไทยจะคลี่คลายมีการจัดตั้งรัฐบาลไทยได้ค่อนข้างเร็ว แต่ก็ยังมีเสี่ยงค่อนข้างสูง โดยล่าสุดตัวเลขส่งออกเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาก็ชะลอต้วลงเป็นตัวเลขหลักเดียวที่ 5.8% และยังมีแนวโน้ชะลอลงต่อ ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวมีแนวโน้มต่ำกว่าเป้าที่ตั้งไว้ 33.5 ล้านคน รวมถึงปัญหาชายแดนกัมพูชาที่เริ่มเป็นประเด็นที่ใหญ่ขึ้น-ส่งผลกระทบในวงกว้างขึ้น โดยมองผลกระทบต่อจีดีพีในครึ่งปีหลังประมาณ 0.3% และในปีหน้าอีก 0.3% ซึ่งหากผนวกกับปัจจัยบวกในช่วงที่เหลือของปีที่จะมีโครงการคนละครึ่งแล้ว ทิสโก้ยังคงเป้าหมายจีดีพีปีนี้ที่ระดับ 1.9% และปี 2569 ที่ 1.6%
"เรามอง'คนละครึ่ง' เป็น Protect Upside down มากกว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างจากคร้้งก่อน เพราะปัจจัยแวดล้อมที่แตกต่างกันจากหนี้ครัวเรือนที่สูงขึ้นทำให้กำลังซื้อลดลง ขณะที่จีดีพีปีหน้ามองว่าจะต่ำกว่าปีนี้ เพราะจะรับผลการส่งออกที่จะโดนกระทบจากภาษีตอบโต้อย่างเต็มที่จากที่ดีเลย์มาจากปีนี้ ขณะที่ภาคการลงทุนน่าจะไปกระเตื้องได้ในช่วงกลางปีหน้า ดังนั้น เราจึงมองทิศทางดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกไตรมาสละ 0.25% สู่ระดับ 0.75% ในช่วงกลางปี 2569 หรืออย่างน้อยๆก็เหลือ 1% จากอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำ โดยการเข้ารับตำแหน่งของผู้ว่าการธปท.คนใหม่อาจช่วยให้ทิศทางนโยบายการเงินมีความผ่อนคลายมากขึ้น"
ทั้งนี้ อีกประเด็นที่หลายฝ่ายมีความเป็นห่วงคือ เงินบาทที่แข็งค่าส่วนกับทิศทางเศรษฐกิจ รวมถึงยังมีการตั้งคำถามถีงตัวแปรตัวหนึ่งในดุลการชำระเงินอย่าง NEO หรือ Net Errors and Omissions ซึ่งสะท้อนถึงเงินทุนไหลเข้าแต่ไม่สามารถระบุแหล่งที่มาได้ ซึ่งตัวเลข Errors นั้นมีจำนวนเพิ่มขึ้นสูงมากจากสภาวะปกติที่จะอยู่ประมาณ 3-4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ มาเป็นตัวเลขถึง 1 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้หลายฝ่ายมีความกังวล และตั้งขอสังเกตว่าอาจเป็นเงินทุนสีเทา ทั้งนี้ สถานการณ์ดังกล่าวก็คงต้องรอผลการตรวจที่เกี่ยวข้องในการหา 'Connect the dots' จุดเชื่อมโยงต่างๆ และดำเนินการแก้ไขต่อไป โดย TISCO ESU ประเมินเงินบาท ณ สิ้นปีที่ 32.50-33.00 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐจาก 31.90 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่เงินดอลลาร์สหรัฐยังมีทิศทางอ่อนค่าต่อเนื่อง
ด้านนายธนภัทร ธนชาต นักเศรษฐศาสตร์ ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ กล่าวว่า ภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯมีสัญญาณความเปราะบางมากขึ้น แต่ยังไม่ถึงขี้นอ่อนแอรุนแรง โดยในส่วนของตัวเลขการว่างงานที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ขณะที่อัตราเงินเฟ้อยังทรงตัวในระดับสูง ดังนั้น ประเมินว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยนโยบายลงน้อยกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ที่ระดับต่ำกว่า 3% โดยคาดการณ์ ณ สิ้นปี 2569 อัตราดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐจะอยู่ที่ระดับ 3.25-3.50% หรือปรับลดลงราว 0.75% จากระดับปัจจุบันที่ 4.00-4.25%
**แนะปรับพอร์ต**
นายคมศร ประกอบผล หัวหน้าศูนย์วิเคราะห์และกลยุทธ์ทิสโก้ กล่าวว่า ในสถานการณ์ปัจจุบันตลาดหุ้นโลกกำลังเผชิญแรงกดดันปัจจัยเสี่ยงสำคัญใน 3 ด้าน ทั้งเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มขยายตัวชะลอลง ในขณะที่อัตราเงินฟ้อมีแนวโน้มเร่งขี้นจึงทำให้เฟดอาจจะลดดอกเบี้ยลงไม่เท่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ และท้ายสุดราคาสินทรัพย์ในตลาดที่อยู่ในระดับสูงมากทั้งในตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้ และมีค่า P/E สูงกว่าค่าในอดีตเป็นอย่างมาก รวมถึงตลาดตาราสารหนี้ก็สะท้อนถึงความแพงเช่นกัน ดังนั้น ประเมินว่า ตลาดหุ้นจะมี Upside ที่จำกัด มีความเสี่ยงที่จะปรับฐานลงราว 5-10%จากระดับปัจจุบัน ดังนั้น จึงแนะนำให้นักลงทุนปนรับพอร์ตเพื่อลดความเสี่ยง โดยเน้นหุ้นกลุ่มที่มีรายได้แน่นอน และไม่ผันผวนตามวัฏจักรของเศรษฐกิจมากนัก เช่น กลุ่มสาธารณูปโภคพื้นฐาน(Utilities) และกระจายการลงทุนไปยังกลุ่มโลหะมีค่า เช่น ทองคำมากขึ้น
นายธนธัช ศรีสวัสดิ์ นักกลยุทธ์ ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ ทิสโก้ กล่าวว่า ในสภาวะการณ์ที่มูลค่าตลาดหุ้นที่ตึงตัวในปัจจุบัน TISCO ESU แนะนำนักลงทุนกระจายความเสี่ยงออกจากหุ้นไปสู่สินทรัพย์ทางเลือก โดยเฉพาะสินค้าโภคภัณฑ์กลุ่มโลหะมีค่าอย่าง "ทองคำและเงิน" แม้ราคาทองคำจะปรับขึ้นแล้วเกือบ 40%ในปีนี้ มาอยู่ที่ระดับ 3,600-3,700 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ อาจดูค่อนข้างแพง แต่ยังมีปัจจัยสนับสนุนระยะยาว ได้แก่ แนวโน้มการอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐ ,การเสื่อมถอยของวินัยการคลังทั่วโลก ทำให้ทั้งนักลงทุนและธนาคารกลางประเทศต่างๆ ยังซื้อทองคำเข้าในระบบสำรองของประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยคาดการณ์ราคาทองคำในปีหน้าที่ระดับ 4,000-4,200 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์
"เนื่องมาจากกระแสความร้อนแรงของ AI ได้ผลักดันให้หุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ โดบเฉพาะ Super Stock แห่งยุค อย่าง NVDIA ราคาพุ่งขึ้นทำสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง และยังหนุนไปยังหุ้นกลุ่มอื่นๆ จนดัชนี S&P 500 ทะลุ 6,600 จุดเป็นครั้งแรกแม้เศรษฐกิจโดยรวมจะอ่อนแรงลง ปรากฏการณ์ดังกล่าวเริ่มสร้างความกังวลในกลุ่มวิเคราะห์ว่า Valuation ที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องนี้ อาจเป็นสัญญาณเตือนว่า ตลาดกำลังก้าวสู่ช่วงเริ่มต้นของภาวะฟองสบู่ คล้ายกับที่เคยเกิดขึ้นในยุคดอทคอมเมื่อ 25 ปีก่อน