เจมี ไดมอน ซีอีโอเจ พีมอร์แกน ส่งสัญญาณแรง เงินเฟ้อเรื้อรังอาจปิดประตูเฟดลดดอกเบี้ยรอบใหม่ ขัดความคาดหวังของตลาด พร้อมเมินกระแสหวั่น Stablecoin ดูดเงินฝาก ชี้บล็อกเชนคือเทคโนโลยีจริง แต่ต้องแยกของแท้ออกจากการเก็งกำไรคริปโต
เจมี ไดมอน (Jamie Dimon) ซีอีโอแห่ง JPMorgan Chase ออกโรงเตือนว่าเงินเฟ้อที่ยังทรงตัวสูงจะเป็นอุปสรรคต่อการลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) แม้ตลาดการเงินคาดหวังการผ่อนคลายนโยบายการเงินต่อเนื่องตลอดปี 2568 โดยเขามองว่า หากเงินเฟ้อยัง “ติดอยู่ที่ระดับ 3%” ห่างจากเป้าหมาย 2% ของเฟด การลดดอกเบี้ยเชิงรุกเป็นไปได้ยาก
แรงกดดันเศรษฐกิจโลกดันเงินเฟ้อสูง-เฟดถูกบีบชะลอการผ่อนคลาย
คำเตือนของไดมอนมีขึ้นท่ามกลางความเห็นสอดคล้องจากเจ้าหน้าที่เฟดเอง ทั้งอัลเบอร์โต มูซาเล็ม ประธานเฟดสาขาเซนต์หลุยส์ ที่ชี้ว่า “พื้นที่สำหรับการผ่อนคลายมีจำกัด” และราฟาเอล บอสติก ประธานเฟดแอตแลนตา ที่ย้ำว่าการปรับลดดอกเบี้ยเดือนกันยายนอาจเพียงพอสำหรับปีนี้ หลังเฟดเพิ่งปรับลด 0.25% เหลือช่วง 4.00% - 4.25% แต่ก็เกิดความเห็นต่างภายในต่อทิศทางนโยบาย
ไดมอนชี้ถึงแรงกดดันเงินเฟ้อหลายด้าน ทั้งการขาดดุลงบประมาณของประเทศมหาอำนาจ แนวโน้มการกลับมาเสริมกำลังทางทหาร การปรับโครงสร้างห่วงโซ่การค้าโลก และข้อจำกัดด้านแรงงานจากการย้ายถิ่นที่ลดลง ซึ่งอาจหนุนค่าแรงสูงขึ้นและกดดันให้ราคาสินค้าไม่ลดลงง่าย ๆ ส่งผลให้เฟดตกอยู่ในภาวะก้ำกึ่งระหว่าง “การควบคุมราคา” และ “การรักษาการจ้างงานเต็มที่”
ศึกนโยบายการเงินเฟด เสียงแตกเรื่องลดดอกเบี้ย
ขณะที่ไดมอนแสดงความระแวงต่อการลดดอกเบี้ย เสียงจากเฟดก็เริ่มแตกออก สตีเฟน มิแรน กรรมการเฟดคนใหม่ซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากประธานาธิบดีทรัมป์ เสนอให้เฟดลดดอกเบี้ยอย่างแรงถึง 1.25% ภายในสิ้นปี โดยให้เหตุผลว่าอัตราดอกเบี้ยปัจจุบัน “สูงเกินไปประมาณ 2 จุด” เนื่องจากแรงกดดันจากนโยบายภาษี ภาษีศุลกากร และข้อจำกัดแรงงานอพยพ แต่ประธานเฟดภูมิภาคหลายรายกลับไม่เห็นด้วย มองว่าการลดต่ออาจทำให้นโยบายการเงิน “อ่อนเกินไป” และเสี่ยงเงินเฟ้อเรื้อรัง
ตัวเลขการว่างงานสหรัฐยังต่ำ ขณะที่การใช้จ่ายผู้บริโภคสะท้อนแรงกดดันในครัวเรือนรายได้น้อย ขาดทุนเครดิตปรับเพิ่มขึ้น แม้ไดมอนชี้ว่ายังเป็นเพียง “ความอ่อนแอ” ไม่ถึงขั้น “วิกฤติ” แต่ก็เป็นปัจจัยที่เฟดต้องชั่งน้ำหนัก ตลาดที่เคยคาดหวังลดดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในปีนี้ กำลังเผชิญความไม่แน่นอนสูงขึ้น
Stablecoin จุดชนวนศึกธนาคาร-คริปโต
ไดมอนยังกล่าวถึงกระแส Stablecoin ที่ถูกมองว่าอาจดึงเงินฝากออกจากระบบธนาคาร โดยเขามองว่าบล็อกเชนคือเทคโนโลยีจริงที่มีอนาคตในเชิงการชำระเงินและโครงสร้างพื้นฐาน แต่การเก็งกำไรในคริปโตเป็นเรื่องที่ต้องแยกให้ออกจากการใช้งานจริง ขณะที่สมาคมธนาคารใหญ่ 5 แห่งในสหรัฐกลับเดินหน้าล็อบบี้รัฐสภาให้เข้มงวดผ่านร่างกฎหมาย GENIUS Act หวั่น Stablecoin ที่ให้ผลตอบแทนสูงจะดูดเงินฝากมูลค่ามหาศาลออกจากระบบ เหมือนวิกฤติเงินไหลออกสู่กองทุนตลาดเงินยุค 1980
นอกจากนี้ข้อมูลจาก Citigroup ชี้ว่า Stablecoin ที่ให้ผลตอบแทนแข่งขันได้อาจทำให้เงินฝากหายไปกว่า 6.6 ล้านล้านดอลลาร์ สร้างแรงสั่นสะเทือนต่อฐานเงินทุนของธนาคาร ในขณะที่ Coinbase และแพลตฟอร์มคริปโตอื่น ๆ ยืนยันเดินหน้าจ่ายผลตอบแทนต่อ แม้เผชิญแรงกดดัน โดยอ้างว่ากฎหมายจำกัดผูกพันเฉพาะผู้ออกเหรียญ ไม่ครอบคลุมคนกลาง
ก่อนหน้านี้ตลาด Stablecoin เติบโตจาก 4 พันล้านดอลลาร์ในปี 2563 สู่กว่า 285 พันล้านดอลลาร์ในปัจจุบัน และคาดว่ามีศักยภาพแตะ 1 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปีภายในปี 2573 ยิ่งไปกว่านั้น บริษัทยักษ์ใหญ่ทั้ง Amazon และ Walmart ยังพิจารณานำ Stablecoin มาใช้ลดต้นทุนการชำระเงิน
ทั้งนี้ด้วยบัญชีเงินฝากออมทรัพย์สหรัฐให้ดอกเบี้ยเฉลี่ยเพียง 0.6% ขณะที่แพลตฟอร์ม Stablecoin เสนอผลตอบแทนสูงสุดถึง 5% ความต่างนี้กดดันให้ธนาคารดั้งเดิมเผชิญการแข่งขันเข้มข้น ไดมอนมองอย่างเป็นกลางว่าโครงสร้างพื้นฐานของ Stablecoin จะค่อย ๆ เติบโตเป็นเครื่องมือชำระเงินที่ถูกต้องตามกฎหมาย และ JPMorgan พร้อมให้บริการด้านดูแลสินทรัพย์และบริหารสภาพคลังเงินดิจิทัลในอนาคต