xs
xsm
sm
md
lg

แบงก์สวิส! ปิดดีลชำระเงินผ่านบล็อกเชนครั้งแรกที่มีผลผูกพันทางกฎหมาย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



สามยักษ์ใหญ่การเงินสวิตเซอร์แลนด์ UBS, Sygnum Bank และ PostFinance ประกาศความสำเร็จในการทดสอบระบบชำระเงินระหว่างธนาคารบนบล็อกเชน นับเป็นครั้งแรกที่เกิดการโอนเงินที่ “มีผลผูกพันทางกฎหมาย” ผ่านบล็อกเชนสาธารณะ พร้อมสะท้อนศักยภาพในการปฏิวัติโครงสร้างพื้นฐานการเงินโลก

โครงการนำร่องภายใต้สมาคมธนาคารสวิส (Swiss Bankers Association: SBA) แสดงให้เห็นว่า เทคโนโลยีบล็อกเชนและสมาร์ทคอนแทร็กต์สามารถรองรับธุรกรรมระหว่างธนาคารได้จริง โดยทดสอบทั้งการโอนเงินระหว่างลูกค้า และการชำระธุรกรรมที่ผูกกับสินทรัพย์ในโลกจริง ขณะที่ผลการศึกษาชี้ว่ายังมีความท้าทายด้านการขยายระบบและการทำงานร่วมกับสถาบันการเงินอื่น แต่ก็ถือเป็นก้าวสำคัญที่เปิดทางให้โลกการเงินดั้งเดิมและ DeFi เดินเข้าหากัน

การทดลองครั้งนี้อยู่ภายใต้การกำกับของ SBA ซึ่งก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1912 และเป็นตัวแทนของธนาคารกว่า 265 แห่ง มีบุคลากรกว่า 12,000 รายเข้าร่วม

ภาพรวมระบบโครงการ Pine ที่มา: BIS
กลไกหลักคือการสร้าง “Deposit Token” บนบล็อกเชน เพื่อแทนเงินฝากของลูกค้า จากนั้นจึงใช้สมาร์ทคอนแทร็กต์สั่งการให้โอนเงินจริงแบบ off-chain อ้างอิงคำสั่งที่ถูกโทเคนไนซ์ไว้ โดยทดสอบสองรูปแบบได้แก่

1. การชำระเงินระหว่างลูกค้าธนาคารที่เข้าร่วม

2. การทำธุรกรรมลักษณะ escrow ที่แลกเปลี่ยน deposit token กับสินทรัพย์โลกจริง (Real World Assets: RWAs) ผ่านกระบวนการอัตโนมัติ

ผลลัพธ์ยืนยันว่า เทคโนโลยีสามารถตอบโจทย์การดำเนินธุรกรรมที่ตรวจสอบได้ มีความปลอดภัยทางเทคนิค และสอดคล้องกับกรอบกฎหมาย

ความท้าทายด้านการขยายผล

แม้การทดลองพิสูจน์ได้ถึง “ความเป็นไปได้” (feasibility) แต่ SBA ระบุว่า การขยายระบบให้รองรับการใช้งานจริงในระดับสถาบันการเงินทั่วโลก ยังจำเป็นต้องปรับโครงสร้างเพิ่มเติม และต้องการความร่วมมืออย่างใกล้ชิดจากธนาคารอื่น ผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐาน และหน่วยงานกำกับดูแล

UBS ชี้โอกาสสร้างการเชื่อมต่อใหม่

คริสตอร์ฟ พัวร์ หัวหน้าฝ่ายสินทรัพย์ดิจิทัลของ UBS Group เปิดเผยว่า ผลการทดลองนี้ชี้ให้เห็นถึง “ความเป็นจริงของการทำงานร่วมกัน” ระหว่างเงินฝากธนาคารดั้งเดิมกับบล็อกเชนสาธารณะ ซึ่งจะกลายเป็นพื้นฐานของนวัตกรรมใหม่ในตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล

“การพิสูจน์แนวคิดนี้ทำให้เราเห็นว่า การทำให้เงินฝากธนาคารเข้ากันได้กับบล็อกเชนสาธารณะไม่ใช่เรื่องเพ้อฝัน แต่สามารถเกิดขึ้นจริง และเป็นแรงขับเคลื่อนให้การโทเคนไนซ์สินทรัพย์เติบโตอย่างมีระบบ” พัวร์ กล่าว พร้อมย้ำว่านี่คือการปูทางสู่อนาคตของระบบการเงินทั้งในระดับชาติและระดับโลก

บทเรียนจากฝั่งสหรัฐฯ และ BIS

ในอีกฟากหนึ่ง ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Federal Reserve Bank of New York) ร่วมกับ Bank for International Settlements (BIS) Innovation Hub Swiss Centre เคยทำการศึกษาเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา พบว่า สมาร์ทคอนแทร็กต์สามารถเป็น “เครื่องมือที่ยืดหยุ่นและตอบสนองได้รวดเร็ว” สำหรับระบบการเงินที่ถูกโทเคนไนซ์ โดยสามารถเพิ่มหรือลดเครื่องมือใหม่ ๆ ได้แทบจะทันที

อย่างไรก็ดี BIS ยอมรับว่าส่วนใหญ่โครงสร้างพื้นฐานของธนาคารกลางยังไม่พร้อมรองรับกรณีใช้งานขั้นสูง และจำเป็นต้องพัฒนาต่อยอดในระยะยาว

สถานการณ์การทดสอบสัญญาอัจฉริยะ ที่มา: BIS
ก้าวแรกของการผสาน TradFi และ DeFi

ความสำเร็จครั้งนี้ของธนาคารสวิสไม่เพียงแต่เป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ว่า บล็อกเชนสามารถนำมาใช้ในระบบการเงินดั้งเดิมได้จริง แต่ยังสะท้อนถึงทิศทางการเปลี่ยนผ่านของอุตสาหกรรมการเงิน ที่กำลังเคลื่อนจากระบบรวมศูนย์ไปสู่โครงสร้างแบบเปิดและตรวจสอบได้

อย่างไรก็ดีหากสามารถแก้โจทย์ด้านสเกลและการกำกับดูแลได้สำเร็จ “การชำระเงินผ่านบล็อกเชนที่ถูกต้องตามกฎหมาย” อาจกลายเป็นมาตรฐานใหม่ในโลกการเงิน ที่ไม่เพียงเร่งการยอมรับสินทรัพย์ดิจิทัล แต่ยังพลิกโฉมความสัมพันธ์ระหว่างธนาคารดั้งเดิมและระบบการเงินยุคใหม่อย่างมีนัยสำคัญ