ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) ประกาศให้อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาว(National Long-Term Rating) ที่ A(tha) และอันดับเครดิตภายในประเทศระยะสั้น (National Short-Term Rating) ที่F1(tha) แก่ธนาคารไทยเครดิต [CREDIT] หรือ TCB โดยมีแนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ
ปัจจัยสนับสนุนอันดับเครดิต
อันดับเครดิตพิจารณาจากโครงสร้างเครดิตเฉพาะตัวของธนาคาร: อันดับเครดิตภายในประเทศของ TCB มีปัจจัยหลักในการพิจารณาจากสถานะเครดิตของตัวธนาคารเอง (standalone credit profile) และสะท้อนถึงรูปแบบธุรกิจเฉพาะทางของธนาคารในกลุ่มลูกค้าธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่เป็นรายเล็ก (micro SME) รวมถึงการที่ธนาคารมีอัตรากำไรที่อยู่ในระดับสูงในช่วงหลายปีที่ผ่านมาและยังมีความสามารถในการรองรับความเสี่ยงในระดับที่ค่อนข้างดี นอกจากนี้การพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงความเสี่ยงที่สูงโดยธรรมชาติของกลุ่มลูกหนี้หลักของธนาคารรวมไปถึงความเสี่ยงจากการที่ธนาคารมีอัตราการเติบโตของสินเชื่อที่ค่อนข้างสูงในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
เครือข่ายธุรกิจที่จำกัด มุ่งเน้นลูกค้า SME: โครงสร้างธุรกิจ (business profile) ของ TCB สะท้อนถึงเครือข่ายธุรกิจที่จำกัดเมื่อเทียบกับธนาคารพาณิชย์รายอื่นในประเทศไทย โดยธนาคารมีส่วนแบ่งตลาดที่ 0.8% ทั้งในด้านขนาดสินทรัพย์และขนาดฐานเงินฝากโครงสร้างธุรกิจของธนาคารยังพิจารณาถึงรูปแบบธุรกิจของธนาคารที่มีการกระจุกตัว (narrow business model) โดยมุ่งเน้นไปที่สินเชื่อในกลุ่มลูกค้าธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) โดยเฉพาะที่เป็นรายเล็ก ซึ่งคิดเป็น 68% ของสินเชื่อรวม ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568
การเติบโตอย่างรวดเร็วในกลุ่มลูกค้าที่เปราะบาง: โครงสร้างความเสี่ยง (risk profile) ของ TCB สะท้อนถึงการมีความเสี่ยงจากการปล่อยสินเชื่อให้แก่ผู้ประกอบการขนาดเล็กในสัดส่วนที่ค่อนข้างสูง ซึ่งมักมีความเปราะบางเพิ่มขึ้นในช่วงที่เศรษฐกิจชะลอตัว
อีกทั้งอัตราการเติบโตของสินเชื่อของธนาคารยังเป็นระดับที่สูงกว่าอุตสาหกรรมธนาคาร โดยอัตราการเติบโตของสินเชื่อของ TCB อยู่ที่ 25.3% เมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมที่ 2.1% ในช่วงปี 25642567 (ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2568: TCB 5.2% เทียบกับอุตสาหกรรม -0.4%) อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงดังกล่าวได้รับการบรรเทาลงบางส่วนจากอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อของธนาคารที่อยู่ในระดับสูง และมีการทำประกันสินเชื่อกับบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.)
ความท้าทายด้านคุณภาพสินทรัพย์: อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อสินเชื่อรวมของ TCB อยู่ที่ 4.8% ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2568 และมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งสอดคล้องกับรูปแบบธุรกิจของธนาคาร การกระจุกตัวของลูกค้าที่มีความเสี่ยงสูงส่งผลให้ค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองหนี้สูญ (credit cost) ของ TCB อยู่ในระดับสูงกว่าธนาคารอื่นอย่างมีนัยสำคัญ และพอร์ตสินเชื่อที่กระจุกตัวในกลุ่มลูกค้าที่มีความเสี่ยงสูงยังทำให้ธนาคารมีความเสี่ยงที่จะมีค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองหนี้สูญเพิ่มขึ้นอย่างมากได้ หากสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจปรับตัวอ่อนแอลงมากกว่าที่คาดการณ์ไว้
ความสามารถในการทำกำไรน่าจะอยู่ในระดับยอมรับได้ต่อเนื่อง: ฟิทช์คาดว่าความสามารถในการทำกำไรของ TCB จะปรับตัวลดลงบ้างเนื่องจากสภาวะแวดล้อมในการดำเนินงานที่อ่อนแอลง โดยเฉพาะจากอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่มีแนวโน้มจะปรับตัวลดลง
อย่างไรก็ตามฟิทช์เชื่อว่าด้วยลักษณะสินเชื่อของธนาคารที่มีอัตราดอกเบี้ยที่ค่อนข้างสูงน่าจะยังช่วยชดเชยค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองหนี้สูญได้บ้าง และส่งผลให้ความสามารถในการทำกำไรของธนาคารยังคงสูงกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานต่อสินทรัพย์เสี่ยงของ TCB อยู่ที่ 3.1% ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2568 เทียบกับค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมที่ 2.2% ซึ่งสะท้อนถึงความสามารถของธนาคารในการรักษาอัตรากำไรให้อยู่ในระดับที่แข็งแกร่งได้ นอกจากนี้ TCB ยังได้รับประโยชน์จากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) ที่ 7.9% ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2568 ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมที่ 3.1% ค่อนข้างมาก และฟิทช์คาดว่าความสามารถในการทำกำไรของ TCB จะยังคงอยู่ในระดับที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมในระยะสั้น
ฐานะเงินกองทุนปรับตัวดีขึ้น: อัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นส่วนของเจ้าของ (CET1) ของ TCB ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดหลายปีที่ผ่านมา มาอยู่ที่ 15% ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2568 (2567: 14.8%, 2566: 13.1%) โดยเงินกองทุนปรับเพิ่มขึ้นจากกำไรสะสม และการระดมทุนผ่านการเสนอขายหุ้นต่อประชาชนครั้งแรก (IPO) ในเดือนกุมภาพันธ์ 2567 อย่างไรก็ดี อัตราส่วนเงินกองทุน CET1 ของธนาคารยังอยู่ในระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมที่ 16% และฟิทช์คาดว่าธนาคารจะยังคงมีความสามารถในการสะสมเงินกองทุนให้อยู่ในระดับแข็งแกร่งเพียงพอที่จะชดเชยการเติบโตของสินเชื่อที่คาดการณ์ไว้
การเติบโตของสินเชื่อเร็วกว่าการเติบโตของเงินฝาก: อัตราส่วนสินเชื่อต่อเงินฝากของ TCB อยู่ที่ประมาณ 127% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 เทียบกับค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมที่ 90% อัตราส่วนดังกล่าวทรงตัวสูงกว่า 100% ตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา
เนื่องจากการเติบโตของสินเชื่อที่อยู่ในระดับสูงและยังสะท้อนถึงเครือข่ายธุรกิจด้านเงินฝากของธนาคารที่ค่อนข้างด้อยกว่าเมื่อเทียบกับธนาคารขนาดใหญ่ ฟิทช์คาดว่าอัตราส่วนดังกล่าวจะทรงตัวอยู่ในระดับใกล้เคียงกับปัจจุบันในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า แต่จะยังคงอยู่ในระดับที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม