Meta ปรับมาตรการใหม่ บังคับผู้ลงโฆษณาที่เข้าถึงผู้ใช้ในประเทศไทยต้องยืนยันตัวตนอย่างเป็นทางการ เริ่มใช้กันยายนนี้ หากเพิกเฉยเกิน 7 วัน โฆษณาจะหยุดวิ่งโดยอัตโนมัติ เบื้องหลังถูกมองว่าเป็นความพยายามสกัดกั้นโฆษณาปลอมและเพิ่มความโปร่งใสในระบบโฆษณาดิจิทัล
Meta เจ้าของแพลตฟอร์มยักษ์ใหญ่อย่าง Facebook เดินเกมใหม่ด้านความโปร่งใสทางโฆษณา ประกาศบังคับใช้มาตรการยืนยันตัวตน (Identity Verification) สำหรับผู้ลงโฆษณาที่เข้าถึงผู้ใช้งานในประเทศไทย โดยจะเริ่มมีผลตั้งแต่เดือนกันยายนเป็นต้นไป หากผู้ลงโฆษณาไม่ดำเนินการยืนยันภายใน 7 วัน โฆษณาที่รันอยู่จะถูกระงับทันที
โดยมาตรการตรวจสอบเพื่อป้องกันมิจฉาชีพ ได้แก่
1.ผู้ลงโฆษณาต้องยืนยันตัวตนและระบุว่าใครคือ “ผู้ได้รับประโยชน์” จากโฆษณา เช่น หากเป็นการโปรโมตรองเท้า ผู้ได้รับประโยชน์คือองค์กรเจ้าของสินค้า
2.ต้องระบุชัดเจนว่าใครเป็นผู้ชำระค่าโฆษณา ไม่ว่าจะเป็นบุคคลหรือนิติบุคคล
3.ระบบจะแจ้งเตือนผ่านอีเมลและ Ads Manager โดยกำหนดเส้นตาย 7 วันสำหรับการยืนยัน
4.ขั้นตอนยืนยันครอบคลุมการเลือกประเทศผู้ออกเอกสาร ระบุประเภทเอกสาร (เช่น บัตรประชาชน) และอัปโหลดภาพเอกสารเข้าสู่ระบบ
ปรับกฎเข้มป้องกันมิจฉาชีพ-สแกมเมอร์
การปรับเกณฑ์ครั้งนี้สะท้อนแรงกดดันต่อ Facebook ที่ถูกวิจารณ์อย่างหนักในช่วงที่ผ่านมา จากปัญหาโฆษณาของสแกมเมอร์ที่ปลอมแปลงเนื้อหา องค์กร นิติบุคคล ฯลฯ และเนื้อหาที่ไม่น่าเชื่อถือที่เล็ดลอดผ่านระบบการโฆษณามายังผู้บริโภคไทย การยกระดับมาตรการจึงไม่ใช่เพียงแค่ “การจัดระเบียบ” แต่ยังเป็นสัญญาณชัดว่า Meta ต้องการลดแรงเสียดทานด้านความน่าเชื่อถือและเสริมสร้างระบบนิเวศโฆษณาที่ปลอดภัยขึ้น
กรองมิจฉาชีพจากแพล็ตฟอร์มได้มากขึ้น
1.สำหรับธุรกิจรายย่อยหรือผู้ลงโฆษณาที่ไม่คุ้นเคยกับกระบวนการยืนยัน อาจเผชิญความล่าช้าในการทำการตลาดช่วงแรก
2.แต่ในมุมกลับ การบังคับใช้กฎนี้อาจสร้างความมั่นใจแก่ผู้บริโภค ลดปัญหาการถูกหลอกลวง และทำให้ตลาดโฆษณาออนไลน์มีความโปร่งใสมากขึ้น
3.ผู้ลงโฆษณาที่ไม่โปร่งใส หรือไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลตัวตนได้ จะถูกตัดออกจากระบบโดยอัตโนมัติ
อย่างไรก็ตาม ท้ายที่สุดกฎใหม่ของ Facebook ไม่ได้เป็นเพียงมาตรการทางเทคนิค แต่คือการวาง “มาตรฐานใหม่” ให้กับวงการโฆษณาดิจิทัลในไทย ซึ่งน่าจับตาว่า ผู้ลงโฆษณาจะปรับตัวได้เร็วแค่ไหน และผู้บริโภคจะได้รับผลเชิงบวกมากน้อยเพียงใด