ทองคำแรงไม่หยุดและส่อพุ่งยาวภาพรวมตั้งแต่ต้นปี ทองคำในประเทศเพิ่มขึ้นเกือบ 12,000 บาท โดยได้รับแรงหนุนจาก การปรับลดดอกเบี้ยของ Fed ,ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจโลก การเข้าซื้อของธนาคารกลาง รวมถึงกระแสเงินจากกองทุน ETF และกระแสเก็งกำไรของนักลงทุนในเอเชีย คาดว่าราคาทองคำในประเทศมีโอกาสแตะ 58,000 บาท ส่วนGold Spot คาดแตะ 3,700 ดอลลาร์สหรัฐในช่วงปลายปีนี้
ข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 6 กันยายน 2568 ราคาทองคำในประเทศไทย ทองคำแท่ง 96.5% ขายออก 54,300 บาท ,ทองรูปพรรณ 96.5% ราคาขายออก 55,100 บาท ขณะที่ราคาทองคำโลกอยู่ที่ 3,586.81 ดอลลาร์สหรัฐ ภาพรวมราคาทองงคำย่อตัวลงเล็กน้อยจากสถิติสูงสุดในรอบปี 2568 ที่ระดับ 54,800 บาท เมื่อวันที่ 6 กันยายนที่ผ่านมา โดยหลายฝ่ายเชื่อว่าราคาทองคำยังมีโอกาสปรับตัวเพิ่มชึ้นอีกจนแตะระดับ 55,000 บาท หากปัจจัยเสี่ยงทางเศรษฐกิจโลกยังคงอยู่ และธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ยังคงปรับอัตราดอกเบี้ยลงอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 ซึ่งราคาทองคำแท่งในประเทศอยู่ที่ระดับ 42,650 บาท จนถึงล่าสุด (6ก.ย.) ที่ระดับ 54,300 บาท พบว่าปรับตัวเพิ่มขึ้น 11,650 บาท หรือ 27.31% ขณะที่ราคาทองคำโลก (Gold Spot) จากระดับ 2,624.50 ดอลลาร์สหรัฐ (1ม.ค.) ปรับตัวเพิ่มขึ้น 962 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ 36.65% มาอยู่ที่ระดับ 3,586.50 ดอลลาร์สหรัฐ
สถานการณ์แต่ละไตรมาส
ภาพรวมตั้งแต่ต้นปี 2568 ราคาทองคำได้ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีสาเหตุหลักมาจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจโลก และนโยบายการเงินของธนาคารกลางต่างประเทศที่ส่งผลกระทบต่อค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะที่ในประเทศเองก็มีปัจจัยด้านค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงมาเป็นตัวเร่งสำคัญ
เริ่มที่ไตรมาส 1/68 ปัจจัยต่างประเทศ พบว่าความกังวลเรื่องเงินเฟ้อและภาวะเศรษฐกิจถดถอย ทำให้ตลาดการเงินยังคงมีความกังวลถึงแนวโน้มเศรษฐกิจในอนาคต จนส่งผลให้ทองคำยังคงเป็น "สินทรัพย์ปลอดภัย" (Safe Haven Asset) ที่นักลงทุนทั่วโลกต่างต้องการ
ไม่เพียงเท่านี้ ข้อมูลจากหลายสถาบันยืนยันว่า ธนาคารกลางทั่วโลกยังคงเป็นผู้ซื้อทองคำรายใหญ่ เพื่อกระจายความเสี่ยงจากเงินดอลลาร์สหรัฐฯ และเพิ่มทุนสำรอง
ส่วนปัจจัยในประเทศในช่วงต้นปี เงินบาทเริ่มมีทิศทางอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเป็นปัจจัยโดยตรงที่ทำให้ราคาทองคำในประเทศปรับตัวสูงขึ้น
ไตรมาส2บาทอ่อนเงินไหลออก
ขณะที่ในไตรมาส 2/68 ปัจจัยต่างประเทศ พบว่าสัญญาณการปรับลดดอกเบี้ยของ Fed เริ่มส่งสัญญาณที่ชัดเจนมากขึ้นว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในอนาคต ซึ่งทำให้นักลงทุนคาดการณ์ว่าค่าเงินดอลลาร์จะอ่อนค่าลงและหันมาลงทุนในทองคำมากขึ้น ขณะเดียวกัน ความต้องการทองคำจากประเทศผู้บริโภครายใหญ่อย่างจีนและอินเดียยังคงแข็งแกร่ง ทั้งจากการซื้อเพื่อการลงทุนและเครื่องประดับ
ส่วนปัจจัยในประเทศ เงินบาทยังอ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่องและรุนแรงขึ้น เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติเริ่มขายสินทรัพย์ในประเทศและย้ายเงินทุนออกไป ส่งผลให้ราคาทองคำในประเทศพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
ไตรมาส3แรงเก็งกำไรหนุน
สำหรับ สถานการ์ณไตรมาส 3/68 ปัจจัยต่างประเทศ พบว่าหลังจากส่งสัญญาณมาหลายไตรมาส ในที่สุดธนาคารกลางสหรัฐฯ ก็ได้เริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ย ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงอย่างมีนัยสำคัญและเป็นปัจจัยบวกโดยตรงต่อราคาทองคำในตลาดโลก ไม่เพียงเท่านี้ ยังมีประเด็นจากความตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้น โดยความขัดแย้งทางการเมืองและสงครามในหลายพื้นที่ทั่วโลกยังคงเป็นความเสี่ยงที่สำคัญ ทำให้นักลงทุนมองว่าทองคำคือสินทรัพย์ที่ปลอดภัยที่สุด
นอกจากนี้ เมื่อราคาทองคำมีแนวโน้มขาขึ้น นักลงทุนและกองทุนต่าง ๆ ได้เพิ่มการถือครองสัญญาซื้อขายทองคำล่วงหน้า (Gold Futures) เพื่อเก็งกำไรมากขึ้น ทำให้ราคาในตลาดโลกยิ่งพุ่งสูงขึ้น
ขณะที่ปัจจัยในประเทศ ช่วงนี้เงินบาทอ่อนค่าลงไปแตะระดับที่ต่ำสุดในรอบหลายปี ส่งผลให้ราคาทองคำในประเทศพุ่งขึ้นทำสถิติสูงสุดอย่างต่อเนื่อง
ดีมานด์มหภาคเพิ่มไม่หยุด
ด้าน Christopher Wood, Global Head of Equity Strategy, Jefferies Financial Group แสดงความเห็นว่าใน ช่วงต้นปี 2568 ราคาทองคำมีแนวโน้มที่จะปรับตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และอาจทำสถิติสูงสุดใหม่ได้ โดยปัจจัยหลักมาจากความกังวลเกี่ยวกับนโยบายการเงินของธนาคารกลางต่าง ๆ ทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพิมพ์เงินออกมาเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งจะส่งผลให้มูลค่าของเงินสกุลหลักลดลง และทำให้ทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่จำกัดมีมูลค่าสูงขึ้น
ขณะเดียวกันการเข้าซื้อทองคำอย่างต่อเนื่องของธนาคารกลางทั่วโลกเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนราคา โดยเฉพาะในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ กำลังเพิ่มสัดส่วนทองคำในทุนสำรอง เพื่อลดการพึ่งพาสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่าความต้องการทองคำในระดับมหภาคกำลังเพิ่มขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง
นั่นทำให้แนะนำมองทองคำเป็นส่วนสำคัญของพอร์ตการลงทุน โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์ยังคงมีอยู่สูง เพราะเชื่อว่าทองคำเป็นเครื่องมือที่ดีที่สุดในการป้องกันความเสี่ยงจากภาวะเงินเฟ้อและการเสื่อมค่าของเงิน
เช่นเดียวกับ Daan Struyven, Head of Economics, Goldman Sachs เคยให้ความเห็นต่อราคาทองคำเมื่อมิถุนายน 2568 ว่า Goldman Sachs ได้ปรับเพิ่มเป้าหมายราคาทองคำ เพราะราคาทองคำจะยังคงแข็งแกร่งและมีแนวโน้มที่จะสูงขึ้นอีก จากการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ มีแนวโน้มที่จะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยในอนาคตอันใกล้ ซึ่งการปรับลดดอกเบี้ยจะทำให้ผลตอบแทนจากการถือครองพันธบัตรและสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนเป็นดอกเบี้ยลดลง ทำให้ทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ไม่ให้ผลตอบแทนเป็นดอกเบี้ยมีความน่าสนใจมากขึ้น
นอกจากนี้ปัจจัยด้านอุปทานและอุปสงค์ในตลาดโลก โดยเฉพาะการที่การผลิตทองคำจากเหมืองทั่วโลกไม่ได้เพิ่มขึ้นในอัตราที่รวดเร็วเท่ากับความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากผู้บริโภคในตลาดหลักอย่างจีนและอินเดีย รวมถึงความต้องการซื้อจากธนาคารกลางทั่วโลกที่ยังคงมีอยู่อย่างมหาศาล
ทำให้ Goldman Sachs สรุปว่าแม้ราคาทองคำจะปรับตัวสูงขึ้นมาแล้ว แต่ก็ยังคงมีศักยภาพในการเติบโตต่อไปในระยะกลางถึงระยะยาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ เป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ และความต้องการทองคำจากภาคส่วนต่าง ๆ ยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง
นายเจตน์ จันทรอารักษ์ หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ทิสโก้ได้ให้ความเห็นเชิงวิเคราะห์ที่สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงไตรมาส2/68 โดยเน้นย้ำถึงบทบาทของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ซึ่งส่งสัญญาณว่าจะเริ่มลดอัตราดอกเบี้ยในอนาคตอันใกล้นี้ ทำให้มองว่านี่คือปัจจัยสำคัญที่ทำให้ราคาทองคำทะยานขึ้นไปแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เนื่องจากเมื่ออัตราดอกเบี้ยลดลง มูลค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ จะลดลง และทำให้นักลงทุนหันมาถือครองทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ไม่ให้ผลตอบแทนเป็นดอกเบี้ย แต่มีศักยภาพในการรักษามูลค่าไว้ได้อย่างดี
นอกจากนี้ อุปสงค์จากผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้นในตลาดหลัก เช่น จีนและอินเดีย รวมถึงการที่ธนาคารกลางทั่วโลกยังคงเข้าซื้อทองคำอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทั้งหมดนี้ได้กลายเป็นแรงหนุนที่แข็งแกร่งที่ทำให้ราคาทองคำไม่เพียงแต่ทรงตัวอยู่ในระดับสูง แต่ยังมีโอกาสที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นไปอีก
การที่ราคาทองคำอยู่ในช่วงขาขึ้นอย่างชัดเจนนี้ เป็นผลจากปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง ซึ่งประกอบไปด้วยความต้องการในระดับมหภาค (จากธนาคารกลาง) และความต้องการจากผู้บริโภคทั่วไปที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับปัจจัยเชิงนโยบายการเงินของ Fed ซึ่งทำให้ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่ต้องการกระจายความเสี่ยงในพอร์ตการลงทุน
สุดยอดเครื่องมือป้องกันความเสี่ยง
Gregory Shearer หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์โลหะมีค่าจาก J.P. Morgan มองว่าทองคำยังคงเป็นหนึ่งในสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยงที่ดีที่สุดสำหรับสถานการณ์ปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาวะที่ตลาดต้องเผชิญกับความเสี่ยงแบบผสมผสาน ทั้งเงินเฟ้อสูง (inflation), เศรษฐกิจถดถอย (recession), และความไม่แน่นอนทางนโยบายของรัฐบาลสหรัฐฯ พวกเขายังชี้ให้เห็นว่านอกจากแรงหนุนจากอัตราผลตอบแทนที่แท้จริงที่ลดลงแล้ว ความต้องการทองคำยังมาจากความต้องการของนักลงทุนที่ต้องการป้องกันความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนด้านเศรษฐกิจและการค้าที่เพิ่มขึ้นด้วย
นอกจากนี้ นักวิเคราะห์ยังระบุว่า ทองคำได้ทำหน้าที่เป็นสินทรัพย์ที่ "แตกต่าง" จากสินทรัพย์ดั้งเดิมอื่น ๆ เช่น ตลาดหุ้นและตราสารหนี้ เมื่อตลาดหุ้นมีความผันผวนหรือปรับตัวลดลง ทองคำมักจะทรงตัวหรือปรับตัวขึ้น ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ทำให้มันเป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับการกระจายความเสี่ยงในพอร์ตการลงทุน แม้ว่าในระยะยาวทองคำอาจไม่ได้ให้ผลตอบแทนสูงเท่าตลาดหุ้น แต่บทบาทของมันในการช่วยพยุงพอร์ตในช่วงวิกฤตถือว่ามีคุณค่าอย่างมาก
ขณะที่นักวิเคราะห์จากยุโรปให้ความเห็นที่คล้ายคลึงกัน โดยมองว่าราคาทองคำที่พุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์นั้น เป็นสัญญาณที่บ่งชี้ถึงการรับรู้ความเสี่ยงในตลาดการเงินที่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน เริ่มที่รายงานจาก ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ระบุว่าทองคำทำผลงานได้ดีเยี่ยมในช่วงที่ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์สูงขึ้น ในฐานะสินทรัพย์ที่ไม่ขึ้นกับระบบการเงินแบบดั้งเดิม
ทำให้คาดการณ์ว่าราคาจะยังคงทรงตัวอยู่ในระดับสูงหรือปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย หากธนาคารกลางยังคงดำเนินนโยบายลดอัตราดอกเบี้ยและสถานการณ์ความไม่แน่นอนยังคงอยู่ นอกจากนี้ยังมองว่านักลงทุนรายใหญ่ในยุโรปได้เพิ่มสัดส่วนการลงทุนในทองคำเพื่อสร้างความมั่นใจในพอร์ตการลงทุนของตนเอง
ส่วนในทวีปเอเชีย(จีน ญี่ปุ่น และฮ่องกง) นักวิเคราะห์ มองว่าทองคำไม่เพียงแต่เป็นสินทรัพย์ปลอดภัยเท่านั้น แต่ยังเป็น "การลงทุนยอดนิยม" โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจีนและฮ่องกง ซึ่งความต้องการทองคำได้พุ่งสูงขึ้นอย่างมาก การสำรวจจาก HSBC พบว่านักลงทุนที่มีสินทรัพย์สูงในฮ่องกงได้เพิ่มการจัดสรรการลงทุนในโลหะมีค่าขึ้นอย่างมากในช่วงปีที่ผ่านมา รวมถึงการไหลเข้าของเงินทุนเข้าสู่กองทุน ETF ทองคำในฮ่องกงก็เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
นอกจากนี้ การเข้าซื้อทองคำอย่างต่อเนื่องของธนาคารกลางจีนยังเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่าประเทศในเอเชียกำลังมองทองคำในฐานะสินทรัพย์สำรองที่สำคัญเชิงยุทธศาสตร์ เพื่อลดการพึ่งพิงเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ในทางกลับกันในญี่ปุ่น ความต้องการทองคำก็เพิ่มขึ้นเช่นกันท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับนโยบายการเงินและการอ่อนค่าของเงินเยน โดยรวมแล้วในเอเชีย ทองคำถูกมองว่าเป็นทั้งสินทรัพย์ที่สะท้อนถึงความมั่นคงของเศรษฐกิจในประเทศ และเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการบริหารความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอก
กลุ่มนักลงทุนที่มีบทบาท
จากข้อมูลที่นำเสนอ สามารถสรุปได้ว่าปัจจัยหลักที่ผลักดันราคาทองคำในปัจจุบันคือ "อุปสงค์จากธนาคารกลาง" และ "การเข้าซื้อของนักลงทุนรายย่อย" โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเอเชีย เริ่มที่การเข้าซื้อทองคำของธนาคารกลางต่าง ๆ ทั่วโลกเป็นปัจจัยสำคัญที่แตกต่างจากในอดีต ธนาคารกลางไม่ได้ซื้อทองคำเพียงเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อเท่านั้น แต่ยังเพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยงจากสินทรัพย์ที่เป็นสกุลเงินหลักอย่างเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เนื่องจากความไม่แน่นอนในระบบเศรษฐกิจและการเมืองโลกที่เพิ่มสูงขึ้น การซื้อของธนาคารกลางจึงสร้างฐานราคาที่แข็งแกร่งให้กับทองคำและเป็นปัจจัยสนับสนุนในระยะยาว
ขณะเดียวกัน บทบาทของนักลงทุนรายย่อย โดยเฉพาะในเอเชีย ที่มีความต้องการซื้อทองคำอย่างมีนัยสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการซื้อเพื่อการออม การลงทุน หรือเพื่อใช้เป็นเครื่องประดับในโอกาสพิเศษ ซึ่งความต้องการที่มาจากฐานนักลงทุนที่กว้างขึ้นนี้เป็นอีกหนึ่งแรงผลักดันที่ทำให้ราคาทองคำปรับตัวขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง
ปัจจุบัน ผู้เล่นหลักในตลาดทองคำโลก ประกอบด้วย 3 กลุ่มสำคัญ ได้แก่ ธนาคารกลาง กองทุนและสถาบันการเงิน และนักลงทุนรายย่อย โดยแต่ละกลุ่มมีบทบาทที่แตกต่างกัน
โดยกลุ่มผู้เล่นสำคัญในตลาดนี้ ได้แก่ ธนาคารกลาง (Central Banks) ถือเป็นผู้เล่นที่ทรงอิทธิพลที่สุดในตลาด โดยเฉพาะธนาคารกลางในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ (Emerging Markets) เช่น จีน ตุรกี โปแลนด์ และ อินเดีย ที่มีการเข้าซื้อทองคำอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี 2568 เพื่อกระจายความเสี่ยงจากเงินดอลลาร์สหรัฐฯ และเพื่อเสริมความมั่นคงทางเศรษฐกิจในประเทศ การเข้าซื้อในปริมาณมหาศาลนี้สร้างแรงหนุนในเชิงโครงสร้างที่สำคัญต่อราคาทองคำในระยะยาว
ถัดมาคือ กองทุนและสถาบันการเงิน (Funds and Financial Institutions) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กองทุน ETF ทองคำ ทั่วโลก การไหลเข้าของเงินทุนอย่างต่อเนื่องในปีนี้มีบทบาทสำคัญในการผลักดันราคาให้สูงขึ้น โดยเฉพาะในสหรัฐฯ ที่มีการถือครองทองคำเพิ่มขึ้น 9.5% และในจีนที่การถือครองผ่าน ETF เพิ่มขึ้นถึง 70% ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสนใจที่เพิ่มขึ้นจากนักลงทุนสถาบัน
และนักลงทุนรายย่อย (Retail Investors)ก็มีบทบาทสำคัญเช่นกัน โดยเฉพาะในทวีปเอเชีย ความต้องการทองคำเพื่อการลงทุนในรูปแบบของทองคำแท่งและเหรียญทองคำเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะใน จีน และ อินเดีย ที่ความต้องการจากนักลงทุนรายย่อยเพิ่มขึ้นจนถึงจุดที่แซงหน้าความต้องการทองคำเพื่อทำเครื่องประดับในบางช่วง
ส่วนตลาดซื้อขายหลักและกลุ่มนักลงทุนที่ซื้อมากที่สุด ได้แก่ ตลาดนิวยอร์ก (COMEX) และ ตลาดเซี่ยงไฮ้ (Shanghai Futures Exchange - SHFE) โดยสองตลาดนี้มีสัดส่วนการซื้อขายสัญญาทองคำล่วงหน้ารวมกันมากกว่า 90% ของปริมาณการซื้อขายทั่วโลก นอกจากนี้ยังมีตลาดซื้อขายทองคำแบบ OTC (Over-the-Counter) ในกรุงลอนดอนที่ยังคงมีปริมาณการซื้อขายมหาศาลเช่นกัน
โดยกลุ่มนักลงทุนที่ซื้อมากที่สุด ในระดับประเทศคือจีนและอินเดีย เป็นสองประเทศที่ครองสัดส่วนความต้องการทองคำในตลาดโลกมากที่สุด โดยรวมกันคิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 50% ของอุปสงค์ทองคำทั้งหมด โดยความต้องการในจีนมาจากทั้งธนาคารกลางและนักลงทุนรายย่อยที่ต้องการกระจายความเสี่ยงและเก็บออม ส่วนในอินเดียมาจากทั้งความต้องการเพื่อการลงทุนและเครื่องประดับ
นั่นทำให้ทวีป เอเชีย เป็นภูมิภาคที่มีบทบาทโดดเด่นที่สุดในตลาดทองคำโลกในปัจจุบัน โดยเป็นทั้งแหล่งอุปสงค์หลักจากธนาคารกลางและนักลงทุนรายย่อยที่เข้าซื้ออย่างมีนัยสำคัญและต่อเนื่องมาตลอดทั้งปี 2568 ทำให้เอเชียกลายเป็นศูนย์กลางการเติบโตของความต้องการทองคำอย่างแท้จริง
ปลายปีมีลุ้นแตะ 58,000
ทั้งนี้ ในช่วงที่เหลือของปี 2568 จากการวิเคราะห์ คาดว่า กลุ่มกองทุนและนักลงทุนสถาบัน โดยเฉพาะการไหลเข้าของเงินทุนจากกองทุน ETF ในทวีปตะวันตกจะเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อราคาทองคำมากที่สุด เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีสภาพคล่องและสามารถเข้า-ออกตลาดได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งการตัดสินใจของกลุ่มนี้จะเป็นตัวกำหนดทิศทางของราคาในระยะสั้นถึงกลางอย่างมีนัยสำคัญ แม้ว่าธนาคารกลางจะยังคงเป็นผู้ซื้อหลักที่สร้างแรงหนุนในระยะยาว แต่การเคลื่อนไหวของเงินทุนจากสถาบันจะเป็นปัจจัยที่ทำให้ราคาทองคำเกิดความผันผวนและมีโอกาสปรับตัวขึ้นได้อย่างรุนแรงที่สุด
จนเป็นเหตุผลให้นักวิเคราะห์จากสถาบันการเงินชั้นนำในสหรัฐฯ อย่าง J.P. Morgan Research และ Goldman Sachs ยังคงมีมุมมองเชิงบวกอย่างมากต่อราคาทองคำในช่วงที่เหลือของปี 2568 โดย J.P. Morgan คาดการณ์ว่าราคาทองคำจะเฉลี่ยอยู่ที่ $3,675 ต่อออนซ์ ภายในไตรมาสที่ 4 ปี 2568 และอาจปรับตัวขึ้นไปถึง $4,000 ต่อออนซ์ ในไตรมาสที่ 2 ปี 2569 ในขณะที่ Goldman Sachs ได้ปรับเพิ่มการคาดการณ์ราคาทองคำ ณ สิ้นปี 2568 เป็น $3,700 ต่อออนซ์
ส่วนมุมมองของนักวิเคราะห์จากสถาบันการเงินอย่าง HSBC และ ฮั่วเซ่งเฮง ก็ยังคงเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับนักวิเคราะห์ฝั่งตะวันตก โดยนักวิเคราะห์ในภูมิภาคนี้เชื่อว่า แรงซื้อจากผู้บริโภคและนักลงทุนรายย่อยในจีนและอินเดีย จะยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยพยุงราคาทองคำไว้ไม่ให้ปรับตัวลงแรง อีกทั้งมีแรงสนับสนุนจากการอ่อนค่าของเงินสกุลท้องถิ่นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดที่ทำให้ราคาทองคำในประเทศแถบนี้ปรับตัวสูงขึ้น
สอดคล้องกับศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่าราคาทองคำในประเทศยังคงมีแนวโน้มขาขึ้นในระยะที่เหลือของปี โดยปัจจัยหลักมาจากการที่ ค่าเงินบาทมีแนวโน้มที่จะยังคงอ่อนค่า เนื่องจากเศรษฐกิจในประเทศยังคงเผชิญกับความไม่แน่นอน และการส่งออกอาจยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ ซึ่งจะทำให้ราคาทองคำในประเทศปรับตัวสูงขึ้นตามราคาในตลาดโลกโดยอัตโนมัติ
ดังนั้น แม้ราคาทองคำในตลาดโลกจะมีการย่อตัวลงมาบ้างจากการทำกำไร แต่ในประเทศไทยจะไม่ได้รับผลกระทบมากนัก เนื่องจากอุปสงค์ในประเทศยังคงแข็งแกร่ง ทั้งจากการซื้อเพื่อการลงทุนและเพื่อการเก็งกำไร ทำให้มองว่าราคาอาจปรับตัวขึ้นไปถึงระดับ 56,000 บาท ต่อบาททองคำได้ภายในสิ้นปีนี้
ตามมาด้วย บทวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ เอสซีบี เอกซ์ (SCB Securities) โดยนายรณกฤต สารินวงศ์, รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ เคยให้ความเห็นว่า มีมุมมองที่ค่อนข้างเชิงบวกอย่างมาก โดยคาดการณ์ว่าราคาทองคำโลกมีโอกาสพุ่งทะลุระดับ $3,800 ต่อออนซ์ ภายในสิ้นปี 2568 ซึ่งจะส่งผลให้ราคาทองคำในประเทศไทยปรับตัวสูงขึ้นไปแตะระดับ 58,000 บาท ต่อบาททองคำได้เช่นกัน