ตลาดหลักทรัพย์ฯ เผยผลลัพท์จากงาน "Thailand Focus 2025" พบต่างชาติยังจับตาตลาดหุ้นไทยและสนในลงทุนใน บจ.ที่มีศักยภาพ เดินหน้าดึงหุ้นขนาดใหญ่เข้าจดทะเบียนในตลาด พร้อมเชื่อมโยงกับ BOI หวังดูดบริษัทต่างชาติที่มีศักยภาพสูง รวมถึงศึกษาแนวทางเพื่อให้บริษัทแม่จากต่างประเทศมาจดทะเบียนควบด้วย อีกทั้งหารือ ก.ล.ต. เพื่อผ่อนปรนเกณฑ์และแก้ไขกฎระเบียบให้บริษัทต่างชาติเข้าตลาดง่ายขึ้น หวังเพิ่มทางเลือกและสร้างความน่าสนใจให้กับนักลงทุน ขณะสถาบันการเงินเร่งปลดชนักหนี้ครัวเรือน เพื่อให้เกิดเสถียรภาพในภาพรวม และหวังมาตราการรัฐยกระดับท่องเที่ยวไทย ฟื้นสู่การสร้างคุณค่ายั่งยืน เชื่อทุกฝ่ายเดินแผนจะช่วยดึงเม็ดเงินลงทุนกลับคืนสู่ตลาดหุ้นไทยอีกครั้ง
งาน "Thailand Focus 2025 Beyond the Chanllenges " งานใหญ่ของตลาดทุนไทยปี 2568 ปีนี้ยังคงเน้นการให้ข้อมูลและเสริมความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจและตลาดทุนไทย เพื่อก้าวข้ามความท้าทาย สู่โอกาสการลงทุน ที่ปีนี้มีผู้ลงทะเบียนมากกว่า 500 คน และผู้จัดการกองทุนกว่า 180 คน จาก 75 กองทุนทั่วโลก ซึ่งมีบริษัทจดทะเบียน 75 แห่งร่วมให้ข้อมูล
ขณะที่หัวข้อที่มีให้ผู้ที่คร่ำหวอดในวงการเศรษฐกิจและการเงินเข้าร่วมเสวนานั้น กููรูต่างได้แสดงความเห็นและแนะแนวทางเพื่อกระตุ้นและให้เป็นที่ดึงดูดนักลงทุนเข้ามาลงทุน แม้ว่าปีนี้ เศรษฐกิจโลกปีนี้เติบโตในระดับปานกลาง ท่ามกลางผลกระทบจากปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ ปัญหาโลกร้อน การเติบโตของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และกระแสพลังงานงานสะอาด อีกทั้งความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศและทรัพยากรกลายเป็นตัวแปรทางเศรษฐกิจมหภาคที่สำคัญ ซึ่งไทยเราต้องเตรียมความพร้อมทุกดัาน ทั้งเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน การบริหารจัดการน้ำ และโครงสร้างพื้นฐานที่ยืดหยุ่น เพื่อให้การเติบโตสอดคล้องกับสิ่งแวดล้อมและความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว
ขณะที่การส่งออกของไทยช่วงครึ่งแรกปี 2568 แข็งแกร่งขึ้น เพราะได้แรงหนุนจากห่วงโซ่อุปทานอิเล็กทรอนิกส์และยานยนต์ ขณะที่ประสิทธิภาพด้านโลจิสติกส์ที่ดีขึ้นผ่านประตูการค้าและระเบียงเศรษฐกิจที่สำคัญ ส่วนการท่องเที่ยวฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง โดยมีการใช้จ่ายต่อหัวของนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น ส่งผลให้เศรษฐกิจครี่งปีแรกเติบโตได้ระดับ 3% และควรต้องรักษาการเติบโตให้ต่อเนื่อง ขณะที่หลังเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ ไทยถูกเก็บภาษีนำเข้า 19% ซึ่งถือดีกว่าหลายประเทศคู่แข่งในภูมิภาค
มั่นใจ ต่างชาติสนใจหุ้นไทย
นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่างาน Thailand Focus 2025 ที่เพิ่งผ่านไปได้รับความสนใจจากนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งมาจากสถาบันการลงทุนชั้นนำทั่วโลกกว่า 75 สถาบันเข้าร่วม ส่วนใหญ่มาจากสิงคโปร์และฮ่องกง ซึ่งเป็นศูนย์กลางกองทุนระดับโลกและบางแห่งเป็นบริษัทแม่จากสหรัฐฯ ที่มีสำนักงานในเอเชีย ซึ่งนักลงทุนต่างชาติให้ความสนใจขอเข้าพบกับบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ที่เข้าร่วมงานอย่างหลากหลาย กล่าวคือหุ้นในกลุ่ม SET50, SET100 ไปจนถึงหุ้นในตลาด mai และให้ความสนใจหุ้นที่มีขนาดใหญ่และมีสภาพคล่องสูง เพื่อความสะดวกในการลงทุนที่จะเข้าออกง่าย
ดังนั้น ตลาดหลักทรัพย์ ฯ จึงเตรียมพร้อมเพื่อต้อนรับบริษัทต่างชาติที่มีศักยภาพเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย ผ่านข้อมูลที่เชื่อมโยงกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) รวมถึงแนวทางการนำบริษัทแม่ในต่างประเทศมาจดทะเบียนควบ (Dual Listing) เป็นการเพิ่มทางเลือกให้นักลงทุน และขณะนี้มีบริษัทหลายแห่งที่สนใจและได้ยื่นคำขอเสนอขาย IPO แล้ว ซึ่งแต่ละแห่งต้องใช้เวลาตามเป้าหมายแต่ละบริษัท ขณะที่ ตลาดหลักทรัพยฯ อยู่ระหว่างพิจารณาทางเลือกเพื่อให้กระบวนการจดทะเบียนง่ายขึ้น โดยเฉพาะบริษัทต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในไทย เพื่อในอนาคตจะดึงเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพยฯ และต้องหารือกับ ก.ล.ต. เพื่อหาแนวทางเพิ่ม
ทั้งนี้ ปัจจุบันมีบริษัทยื่นไฟลิ่งเพื่อเข้าจดทะเบียนปีนี้ประมาณ 30 แห่ง และช่วงครึ่งปีหลังหุ้นไอพีโอที่จะเพิ่มความน่าสนใจของนักลงทุนได้ น่าจะเป็นหุ้นไอพีโอขนาดใหญ่ระดับ 1 หมื่นล้านบาท อย่าง บริษัท ไทยน้ำทิพย์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)หรือ TNCC ที่ทำธุรกิจบรรจุ จัดจำหน่าย และจำหน่ายเครื่องดื่มตามสัญญากับ The Coca-Cola Company และ Schweppes Holdings Limited ในพื้นที่ 63 จังหวัดจาก 77 จังหวัดในไทย และลาว
“คาดหวังว่าครึ่งปีหลัง ตลาดหุ้นไทยจะกลับมาสดใส มีปัจจัยบวก เพื่อให้เกิดความมั่นใจเข้ามาลงทุนในไทย และมีฟันด์โฟลว์ไหลเข้ามามากขึ้น จากช่วงกว่า 1 เดือนที่ผ่านมา มีต่างชาติกลับมาลงทุนในหุ้นไทยแล้วมูลค่า 15,000-16,000 ล้านบาท ซึ่งเกิดจากตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้เข้าไปเจรจากับนักลงทุนต่างชาติ ถึงความต้องการและคำตอบที่ได้คือ แม้ตลาดหุ้นอื่นปรับขึ้นไปไกลและตลาดไทยยังตามหลัง แต่ก็ยังมีความน่าสนใจสำหรับนักลงทุน” นายอัสสเดชกล่าว
นางพรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวว่าเท่าที่ผ่านมา ทาง ก.ล.ต. มีการแก้ไขกฎระเบียบด้านต่าง ๆ โดยมีความมุ่งหมายที่จะทำให้เกิดการปรับตัวที่จะทำให้บริษัทจดทะเบียนมีคุณภาพที่เท่าเทียมกัน รวมทั้งกระตุ้นให้บริษัทจดทะเบียนมีแผนสร้างมูลค่าเพิ่ม ธรรมาภิบาล เปิดข้อมูลและสื่อสารให้กับนักลงทุนมากขึ้น รวมทั้งมีการเตรียมความพร้อมในอนาคต รวมทั้งให้บริษัทจดทะเบียนเปิดเผยข้อมูลให้แก่นักลงทุนต่าง ๆ ไม่ใช่เพียงแค่เพียงครั้งหนึ่งต่อปีเท่านั้น แต่อาจจะเป็นรอบไตรมาส ในอนาคตก็จะทำให้การเปิดเผยข้อมูลเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับต่างประเทศ ซึ่งจะทำให้บริษัทจดทะเบียนของไทยได้รับการมองเห็นมากขึ้นจากนักลงทุนต่างประเทศ เพราะการเปิดเผยข้อมูลนั้นสอดคล้องมาตรฐานต่างประเทศ
โดย ก.ล.ต.จะร่วมกับตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อปรับปรุงขั้นตอนของการยื่นเสนอขายหุ้น IPO ให้กระชับขึ้น รวมการเปิดเผยข้อมูลที่โปร่ง และในส่วนของ Integrity of Market เชื่อว่าทุกคนอยากเห็นการจัดการกรณีต่าง ๆ ให้รวดเร็วมากขึ้น ซึ่ง ก.ล.ต. ไม่ได้ให้ความสำคัญเฉพาะความรวดเร็วของการทำคดี แต่จะเน้นเรื่องระบบการแจ้งเตือน ที่จะนำเอาเครื่องมือใหม่ ๆ เข้ามาใช้อย่าง และในอนาคตพยายามแก้ไขกฎหมายเพื่อให้สำนักงาน ก.ล.ต. มีอำนาจมากขึ้น
สถาบันการเงินเร่งปลดชนักหนี้ครัวเรือน
หนึ่งในการหารืองาน Thai Focus ปีนี้คือ เวที สัมมนา "หนี้ครัวเรือนไทย: ความเปราะบางที่ต้องจับตา "ที่มีผู้เข้าร่วมเสวนาคือ ดร. รุ่ง มัลลิกะมาส รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) , ดร. ลัษมณ อรรถาพิช ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด ,นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) และ ประธานกรรมการ สมาคมธนาคารไทย และ ดร. รักษ์ วรกิจโภคาทร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)
ดร.รุ่ง มัลลิกะมาส รองผู้ว่าการด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท.กล่าวว่าหากจะพูดถึงหนี้ครัวเรือน ซึ่งเป็นปัญหาหลักของประเทศไทย จะเห็นว่ากลุ่มที่มีหนี้ครัวเรือนสูงสุดคือ กลุ่มคนที่เริ่มทำงาน กลุ่มวัยเกษียณก็ยังมีหนี้สิน โดยผู้ที่มีหนี้สินของประเทศเราส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่เป็นหนี้จากการบริโภค ไม่ใช่หนี้จากการทำธุรกิจ จากการทำวิจัยพบว่า ประชากร 38% ของประเทศมีหนี้ครัวเรือน เป็นข้อมูลเฉพาะหนี้ในระบบเท่านั้น เราพบว่าคนไทยเป็นหนี้เฉลี่ยประมาณ 5 แสนบาทต่อคน และหากรวมหนี้นอกระบบ ตัวเลขก็ต้องสูงขึ้นกว่านี้มาก เพราะกลุ่มคนเริ่มทำงาน หรือกลุ่มอายุ 22-29 ปี พบว่า 50% มีหนี้ครัวเรือน และ 1 ใน 4 ของคนที่เป็นหนี้กำลังประสบปัญหาการใช้หนี้ ซึ่งคิดว่ามาจากการที่คนกลุ่มนี้อาจไม่มีความรู้ด้านการจัดการรายได้ ไม่มีข้อมูลที่เพียงพอในการควบคุมการใช้จ่ายหรือขาดความสามารถในการจัดการทางการเงิน ธปท. จึงพยายามช่วยด้วยการให้ข้อมูลเรื่องหนี้ครัวเรือนมากขึ้น รวมถึงการเข้าถึงกลุ่มผู้ให้ความช่วยเหลือทางการเงิน รวมถึงผู้ให้ยืมในการให้ข้อมูลที่โปร่งใสกับลูกหนี้มากขึ้น รวมถึงช่วยด้านข้อมูลในการจัดการทางการเงินเมื่อมีหนี้ครัวเรือน
ปัญหาสำคัญของหนี้ครัวเรือนคือเมื่อลูกหนี้มีหนี้ในระบบ แล้วไม่สามารถชำระหนี้ได้ จึงต้องสร้างหนี้นอกระบบ จนไม่สามารถชำระหนี้ได้ทั้งในและนอกระบบ ทำให้ปัญหาหนี้ครัวเรือนไม่ได้รับการแก้ไข ซึ่งอุปสรรคใหญ่ในการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน คือเราไม่มีข้อมูลที่ถูกต้องของหนี้นอกระบบ เมื่อไม่มีข้อมูลเราก็ไม่ทราบจำนวนหนี้ที่แท้จริง และไม่สามารถแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนในภาพรวมได้ ทางธปท. จึงคิดว่าทางแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนคือการนำหนี้นอกระบบเข้ามาเป็นหนี้ในระบบ ซึ่งถือว่าเป็นความท้าทายที่สำคัญ เพราะการจะทำเช่นนี้ได้ จำเป็นต้องมีการแก้ไขกฎเกณฑ์และข้อกฎหมายหลายประเด็น เพื่อทำให้หนี้นอกระบบสามารถเข้ามาเป็นหนี้ในระบบได้
ดร. ลัษมณ อรรถาพิช ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด ได้ให้ความเห็นว่า ในขณะนี้ หนี้ครัวเรือนในปี 2568 มีมูลค่าอยู่ที่ 13.5 ล้านล้านบาท และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสินเชื่อหลักที่ครัวเรือนประสบปัญหาในการชำระคือ สินเชื่อที่อยู่อาศัย สินเชื่อส่วนบุคคล และสินเชื่อยานยนต์ แต่สิ่งที่น่าสนใจคือการเปลี่ยนแปลงในการชำระหนี้ของครัวเรือน ที่ในปัจจุบันนี้สินเชื่อส่วนบุคคลมีจำนวนสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่สินเชื่อเพื่อการเกษตรหรือสินเชื่อเพื่อการประกอบอาชีพกลับไม่มีการเจริญเติบโต
ทั้งนี้ จากการวิเคราะห์ของบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติฯ พบว่าแม้บัญชีผู้ขอสินเชื่อจะมีจำนวนมากขึ้น แต่ผู้ขอสินเชื่อมีศักยภาพกู้ในจำนวนเงินที่ลดลงเรื่อยๆ และหนี้เสียมีจำนวนถึง 10.4% ของหนี้ทั้งหมด และการแก้ไขปัญหาหนี้นั้น บริษัทฯ สามารถช่วยในการให้ข้อมูลต่างๆ แก่ผู้กู้และผู้พิจารณาสินเชื่อให้สามารถพิจารณาสินเชื่อได้อย่างเหมาะสม และให้ผู้กู้สามารถประเมินศักยภาพในการกู้และการชำระหนี้ของตนเอง นอกจากนี้การนิยามการจัดการหนี้สินและสุขภาวะทางการเงินเป็นอีกหนึ่งความท้าทายที่บริษัทฯ มองเห็น เพราะทางบริษัทฯ มุ่งหวังว่าไม่เพียงต้องการให้บริการให้ข้อมูลเครดิตเพื่อจัดการความเสี่ยงเท่านั้น แต่ยังต้องการให้ข้อมูลเพื่อการเตือนสถาบันการเงิน และในขณะเดียวกันก็ต้องการเตือนผู้บริโภคถึงการฉ้อโกงต่างๆ ด้วยเช่นกัน เ
นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) และ ประธานกรรมการ สมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า เศรษฐกิจนอกระบบในไทยมีสัดส่วนสูงที่สุดเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยสูงถึง 48 % และทำให้การสำรวจข้อมูลทำได้ไม่ครอบคลุม โดยเฉพาะในเรื่องหนี้ อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลที่มีอยู่ ปัจจัยหลักที่ทำให้จำนวนหนี้ครัวเรือนสูงขึ้น คือ รายได้ต่ำหรือรายได้ต่ำกว่าความจำเป็นที่ต้องใช้เงิน ปัญหาความยากจนและความไม่เท่าเทียม กฎหมายหย่อนยานและการจัดการที่ไม่มีประสิทธิภาพ ผลผลิตต่ำ ขาดความยืดหยุ่นทางการเงิน และความล่าช้าของการพัฒนาอย่างยั่งยืนและข้อมูลเรื่องช่วงอายุกับหนี้ครัวเรือนประเภทต่างๆ จะเห็นว่ากลุ่มคนอายุน้อย เช่นกลุ่มผู้ที่เริ่มทำงานจะมีหนี้จากการผ่อนรถ และหนี้จากการจับจ่ายใช้สอยมากที่สุด ในทางกลับกันกลุ่มผู้สูงอายุหรือวัยหลังเกษียณจะมีหนี้จากดอกเบี้ยเงินกู้ซื้อที่อยู่อาศัยมากกว่า ทั้งนี้เป็นเพียงตัวเลขจากหนี้ในระบบ ส่วนหนี้นอกระบบที่ทางธนาคารกรุงไทยได้ร่วมมือกับคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยทำการสำรวจหนี้นอกระบบ พบว่าหนี้นอกระบบอาจมีมูลค่าสูงกว่าจีดีพีทั้งหมด
ทั้งนี้ แนวทางแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนสูง มีแนวทางหลัก ๆ 5 ประการคือความครอบคลุมที่รวมถึงข้อมูลความเสี่ยงต่างๆ ที่ต้องมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลกันทั้งภาครัฐและสถาบันการเงิน แนวทางแก้ปัญหาและทิศทางการตลาดที่มีข้อมูลครบถ้วนและรอบด้าน , ความยุติธรรมหรือความเท่าเทียม ,การแบ่งระดับอย่างชัดเจน , การแข่งขันเสรี สถาบันการเงิน หรือผู้ให้บริการกู้ยืมควรทำการแข่งขันอย่างเสรีและควรมีการแลกเปลี่ยนฐานข้อมูลอย่างเป็นกลาง สุดท้ายคือการกู้ยืมที่มีคุณภาพ สถาบันทางการเงินต้องให้ข้อมูลที่ครบถ้วนและโปร่งใส่แก่ผู้กู้ยืม เพื่อให้ผู้ยืมสามารถกู้ยืมในจำนวนที่เหมาะสมกับความต้องการของตน และสามารถผ่อนชำระไหว ซึ่งโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ก็เป็นอีกแนวทางหนึ่งที่จะช่วยแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนได้
ดร. รักษ์ วรกิจโภคาทร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าปัจจุบันบริษัทฯ มีหนี้ที่ต้องจัดการแก้ไขประมาณ 2 ล้านล้านบาท ซึ่งหนี้ครัวเรือนถือเป็น 40% ของหนี้ดังกล่าว สิ่งที่น่าตกใจคือ จำนวน 1 ล้านล้านบาทเป็นหนี้เสีย (NPL) และทางบริษัทฯ ได้ทำหน้าที่เสมือนโรงพยาบาลที่รักษาคนไข้ด้านหนี้สินอย่างเต็มที่ แต่ในปัจจุบัน หากไม่มีการขยายศักยภาพของบริษัทฯ จะต้องใช้เวลา 7-10 ปีในการแก้ไขปัญหาหนี้ทั้งหมด แต่หากทางบริษัทฯ สามารถขยายศักยภาพในการทำงานได้ ระยะเวลาอาจลดลงมาเหลือเพียง 4-5 ปีเท่านั้น แต่ในความเป็นจริงปัญหาหนี้สินมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และเป็นความท้าทายของบริษัทฯ และภาคเศรษฐกิจในประเทศไทย หลักการหนึ่งที่ทางบริษัทฯ ได้นำมาใช้คือการเข้าช่วยเหลือหนี้เสียเพื่อให้สามารถกลับมาชำระหนี้ได้อีกครั้ง ซึ่งการเพิ่มมาตรการการช่วยเหลือให้แก่ผู้กู้ที่มีหนี้เสียจะช่วยให้การแก้ปัญหาหนี้สินเป็นไปได้อย่างราบรื่นมากขึ้น ทางบริษัทฯ ยังมุ่งหวังที่จะสร้างความร่วมมือกับกองทุนต่างๆ เพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาหนี้สิน และดึงหนี้สินจากธนาคารอื่นมาบริหารอีกด้วย
ยกระดับท่องเที่ยวไทย ฟื้นสู่การสร้างคุณค่ายั่งยืน
นายวิลเลียม เอ็ลล์วู๊ด ไฮเน็ค ประธานกรรมการ บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT เผยว่าช่วงที่ผ่านมาMINT ได้พบกับกระแสใหม่ ๆ ในการท่องเที่ยวของไทย ทั้งในด้าน sustainability และ wellness tourism ทางบริษัทได้เปิดเวลเนส คลินิก เพิ่มขึ้นหลายแห่ง ซึ่งแยกออกมาจากธุรกิจสปา และประสบความสำเร็จอย่างมาก จากกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มาจากเที่ยวบินระยะยาว รวมทั้งจากนักท่องเที่ยวตะวันออกกลาง และนอกจากการมาท่องเที่ยวชมธรรมชาติที่สวยงามแล้ว ปัจจัยด้านวัฒนธรรมก็ยังดึงดูดให้นักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นด้วย ซึ่งการอนุรักษ์ธรรมชาติที่สวยงาม ให้มีคุณภาพรองรับการท่องเที่ยวยังคงเป็นแรงดึงดูดใหญ่ให้นักท่องเที่ยวจากต่างประเทศเข้ามาท่องเที่ยว
Mr. Damien Pfirsch, Chief Commercial Officer จาก Agoda Company เผยว่าประเทศไทยได้รับการจัดอันดับให้อยู่ในที่สองของประเทศที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวชั้นนำของโลก ตามข้อมูลของ Agoda ซึ่งมีอัตราการเติบโต 17% ต่อปี และส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวนั้นมาจากญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และที่อื่น ๆ ในเอเชีย ซึ่งคนที่เดินทางมาประเทศไทยมียอดค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ และกรุงเทพฯ ในข้อมูลของ Agoda เป็นเมืองที่มีผู้มาเที่ยวซ้ำมากที่สุดติดต่อกันถึง 7 ปี ติดต่อกัน แม้ว่าน้กท่องเที่ยวจีนลดลง แต่ควรต้องโปรโมทเพื่อเรียกนักท่องเที่ยวกลับหวนมาเที่ยวเพิ่มขึ้น
นายชาย เอี่ยมศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หรือ THAI ระบุว่าช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา THAI ได้ทำแผนงานระยะยาวเพื่อลดแบบของเครื่องบินที่บริษัทใช้ จากก่อนหน้ามี 8 แบบเหลือเพียง 4 แบบ เพื่อลดต้นทุนการซ่อมบำรุง ทำให้สัดส่วนของการบินแบบ point to point กับการ connect ก็เปลี่ยนไป เพราะในอนาคตการเดินทางในเอเชียแปซิฟิกจะเติบโตสูงที่สุดในโลก ดังนั้น การวิเคราะห์ข้อมูลและนำมาจัดการทางธุรกิจเพื่อให้สามารถและได้รับผลตอบแทนมากขึ้น มีส่วนทำให้ทำกำไรได้มากขึ้นด้วย ขณะเดียวกันก็อยากให้รัฐมีมาตรการเพื่อยกระดับการท่องเที่ยวไทยและปัจจัยลบที่มีผลกระทบต่อการท่องเที่ยว โดยเฉพาะป้ญหาชายแดนรัฐควรเร่งแก้ไขเพราะกระทบต่อการท่องเที่ยวและรัฐต้องเร่งสร้างความเชื่อม้่นเพื่อดึงนักท่องเที่ยวหวนคืนกลับมาเที่ยวไทย
โดยสรุป นักลงทุนต่างชาติ ยังเป็นผู้เล่นรายสำคัญของตลาดหุ้นไทย แม้ที่ผ่านมาประเทศไทยจะเจอกับความท้าทายทั้งการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียน และภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและมีแรงเทขายออกมาอย่างต่อเนื่อง ขณะเศรษฐกิจครึ่งปีแรกดีกว่าที่คาด เป็นจังหวะที่เหมาะสมที่จะดึงดูดให้นักลงทุนต่างชาติกลับมาอีกครั้ง ตลาดหลักทรัพย์ฯ เชื่องาน Thailand Focus 2025 จะเป็นการเปิดข้อมูลและเสริมความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจและตลาดทุนไทย เพื่อก้าวข้ามความท้าทาย สู่โอกาสการลงทุน ที่ปีนี้มีผู้ลงทะเบียนมากกว่า 500 คน และผู้จัดการกองทุนกว่า 180 คน จาก 75 กองทุนทั่วโลก ซึ่งมีบริษัทจดทะเบียน 75 แห่งร่วมให้ข้อมูล ศักยภาพธุรกิจทำให้เกิดการรับทราบข้อมูลโดยตรงจากบริษัทจดทะเบียน