นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้(3ก.ย.68)ที่ระดับ 32.32 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้น เล็กน้อย”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 32.41 บาทต่อดอลลาร์ และมองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.25-32.50 บาท/ดอลลาร์ โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) พลิกกลับมาทยอยแข็งค่าขึ้น เข้าใกล้โซน 32.30 บาทต่อดอลลาร์ อีกครั้ง (แกว่งตัวในกรอบ 32.30-32.42 บาทต่อดอลลาร์) หลังในช่วงบ่ายวันก่อนหน้า เงินบาทเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าเข้าใกล้โซน 32.40-32.50 บาทต่อดอลลาร์ ตามการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ซึ่งได้อานิสงส์จากประเด็นความกังวลเสถียรภาพการคลังของบรรดาประเทศเศรษฐกิจหลัก โดยเฉพาะอังกฤษ โดยความกังวลดังกล่าวได้กดดันให้เงินปอนด์อังกฤ (GBP) อ่อนค่าลงหนัก
นอกจากนี้ การแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ดังกล่าว ก็มีส่วนกดดันให้ ราคาทองคำปรับตัวลงเช่นกัน อย่างไรก็ดี ภาพดังกล่าวได้เปลี่ยนไปบ้างในช่วงคืนที่ผ่านมา หลังเงินดอลลาร์ เผชิญแรงกดดันบ้าง จากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาผสมผสาน โดย ดัชนี ISM PMI ภาคการผลิตอุตสาหกรรม ในเดือนสิงหาคม ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 48.7 จุด ทว่าต่ำกว่าที่ตลาดประเมินไว้ที่ระดับ 49.0 จุด นอกจากนี้ ดัชนีในส่วนการจ้างงาน แม้จะปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 43.8 จุด แต่ก็ยังต่ำกว่าคาด และต่ำกว่าระดับ 50 จุด สะท้อนว่า ภาคการผลิตสหรัฐฯ ยังคงมีการลดการจ้างงานต่อเนื่อง นอกจากนี้ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาผสมผสานดังกล่าว กอปรกับความกังวลเสถียรภาพการคลังของบรรดาประเทศเศรษฐกิจหลัก ซึ่งกดดันให้บรรยากาศในตลาดการเงินโดยรวมอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง (Risk-Off) และแรงซื้อทองคำแบบไล่ราคาของผู้เล่นในตลาด ได้หนุนให้ราคาทองคำ (XAUUSD) ปรับตัวสูงขึ้น ทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์แถวโซน 3,540 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำดังกล่าวก็มีส่วนหนุนการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทเช่นกัน
สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ อย่าง ยอดตำแหน่งงานเปิดรับ (JOLTS Job Openings) ในเดือนกรกฎาคม รวมถึง ยอดคำสั่งซื้อสินค้าคงทน (Durable Goods Orders) และยอดคำสั่งซื้อภาคโรงงาน (Factory Orders) ในเดือนกรกฎาคม นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม รายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจจากบรรดาเฟดสาขาต่างๆ (Fed Beige Book) และถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด
ส่วนในฝั่งเอเชีย ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการบริการของจีน (RatingDog Services PMI หรือ อดีต คือ Caixin Services PMI) ในเดือนสิงหาคม ซึ่งจะสะท้อนภาวะของธุรกิจขนาดเล็ก-กลาง ในภาคการบริการของจีนได้ดี
นอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว เรามองว่า ในฝั่งไทย ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาสถานการณ์การเมือง ทั้งแนวโน้มการยุบสภาโดยรัฐบาลรักษาการปัจจุบันของพรรคเพื่อไทย และแนวโน้มการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ซึ่งมีตัวแปรที่ต้องติดตาม คือ มติของพรรคประชาชน ว่าจะจับมือจัดตั้งรัฐบาลใหม่กับพรรคการเมืองใด ระหว่างฝั่งพรรคเพื่อไทย กับ พรรคภูมิใจไทย
สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เราคงมุมมองเดิมว่า เงินบาท (USDTHB) มีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ Sideways โดยอาจยังติดโซนแนวต้าน 32.50 บาทต่อดอลลาร์ ขณะที่โซนแนวรับก็ไม่ควรจะต่ำกว่าโซน 32.30 บาทต่อดอลลาร์ ไปมากนัก โดยเฉพาะในช่วงก่อนตลาดรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ (ไฮไลท์สำคัญ คือ ข้อมูลการจ้างงาน) ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด ได้อย่างมีนัยสำคัญ
อย่างไรก็ดี ในช่วงระหว่างวัน เรามองว่า เงินบาทอาจพอได้แรงหนุนฝั่งแข็งค่าบ้าง หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจจีนออกมาดีกว่าคาด หนุนให้ เงินหยวนจีน (CNY) ทยอยแข็งค่าขึ้นบ้าง หลังในช่วงที่ผ่านมา เงินบาทได้เคลื่อนไหวสอดคล้องกับเงินหยวนจีนในระดับสูง นอกจากนี้ การปรับตัวขึ้นต่อเนื่องของราคาทองคำในช่วงที่ผ่านมา ก็อาจพอช่วยหนุนการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทได้บ้าง จนกว่าผู้เล่นในตลาดจะเกิดพฤติกรรมไล่ราคาซื้อ (Fear of Missing Out หรือ FOMO) ซึ่งจะทำให้ ความสัมพันธ์ระหว่างเงินบาทกับราคาทองคำเปลี่ยนแปลงไปได้ในระยะสั้น กล่าวคือ ยิ่งราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นเร็ว แรง ก็จะยิ่งกระตุ้นให้ผู้เล่นในตลาดไล่ราคาซื้อ กดดันให้เงินบาทกลับอ่อนค่าลง (จากปกติที่เงินบาทควรจะแข็งค่าขึ้น ในจังหวะราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้น)