xs
xsm
sm
md
lg

SCB FM มองการเมืองไทยยังไม่ส่งผลต่อค่าเงินมากนัก-ชี้หากเลือกนายกฯเร็วอาจหนุนบาทแข็งค่าต่อ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB Financial Markets: SCB FM)มองปัจจัยต่างประเทศทำให้เงินบาทแข็งค่าต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยของ Fed ราคาทองคำสูงขึ้น และเงินหยวนแข็งค่า ส่วนการเมืองไทยไม่ส่งผลมากนัก โดยหากงบประมาณปี 2569 สามารถประกาศใช้ได้ตามกำหนด และการโหวตนายกฯ ไม่ล่าช้า เงินบาทอาจอยู่ในกรอบ 31.50-32.50 ปลายปี แต่หากยืดเยื้ออาจทำให้เงินบาทผันผวน และอ่อนค่าลงได้ พร้อมคาดกนง. จะลดดอกเบี้ยอีก 1 ครั้งในปีนี้ และอีก 1 ครั้งในช่วงต้นปีหน้า ไปสู่ระดับ 1.00% แต่หากเกิด Shock ทางการเมือง กนง. อาจลดดอกเบี้ยลงไปที่ 0.75% ได้

นายแพททริก ปูเลีย รองผู้จัดการใหญ่ Head of Financial Markets Function ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)
เปิดเผยว่า เงินบาทเดือนที่ผ่านมาเคลื่อนไหวในกรอบแคบ โดยพบว่าความผันผวน (Volatility) ของเงินบาทลดลง สอดคล้องกับ Volatility ของตลาดการเงินโลกที่ลดลง ทั้งในตลาดหุ้น ตลาดบอนด์ และตลาดอัตราแลกเปลี่ยน โดยเป็นผลจากนักลงทุนเริ่มชินกับความไม่แน่นอนของนโยบายทรัมป์ รวมถึงนโยบายเรื่อง Tariffs และสงครามระหว่างประเทศที่มีพัฒนาการดีขึ้น

สำหรับปัจจัยที่ทำให้บาทยังแข็งค่าต่อได้มาจากดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐที่ยังคงอ่อนค่าต่อเนื่อง จาก 1) Jarome Powell ประธาน Fed ส่งสัญญาณลดดอกเบี้ย 2) Trump ปลด Lisa Cook จากตำแหน่ง Fed governor และ 3) ศาลอุทธรณ์สหรัฐฯ มีมติว่านโยบาย Tariffs ของ Trump ไม่ชอบด้วยกฎหมาย (แต่ยังให้บังคับใช้ต่อได้จนกว่าคดีจะถึงที่สุด) ซึ่งปัจจัยดังกล่าวทำให้ความเชื่อมั่นต่อสินทรัพย์สหรัฐฯ ลดลง ด้านเงินหยวนยังแข็งค่าขึ้น แม้เลขเศรษฐกิจจีนยังอ่อนแอ โดยธนาคารกลางจีนปล่อยให้ Fixing เงินหยวนแข็งค่าขึ้นด้วย จึงหนุนให้เงินภูมิภาคแข็งค่าตามไปด้วย รวมทั้งราคาทองคำที่สูงขึ้นยังหนุนให้เงินบาทแข็งค่าตาม และแข็งค่ามากกว่าสกุลอื่นในภูมิภาค

สำหรับปัจจัยในประเทศคือเลขเศรษฐกิจไทย (GDP) ในไตรมาส 2 ออกมาดีตามคาด จากการเร่งส่งออกและการลงทุนภาคเอกชนที่กลับมาขยายตัว ทำให้มีการปรับประมาณการ GDP ปี 2568 สูงขึ้นเล็กน้อย ทั้งนี้ พบว่า ธปท. เข้าดูแลการแข็งค่าของเงินบาท โดยเห็นว่าเงินบาทได้รับแรง support ที่ระดับราว 32.25 ซึ่งอาจสะท้อนการเข้าแทรกแซงโดยการขายเงินบาทเทียบต่อดอลลาร์สหรัฐออกมา ทำให้บาทยังไม่สามารถแข็งค่าต่ำกว่าระดับนี้ได้

ในระยะต่อไปมองว่าแนวโน้มเงินบาทจะขึ้นอยู่กับฉากทัศน์การเมืองไทยเป็นสำคัญ โดยปัจจัยสำคัญที่จะส่งผลต่อตลาดการเงินไทยคือ การประกาศใช้ พรบ. งบประมาณปี 2569 ว่าจะถูกเลื่อนออกไปหรือไม่ และจะมีการประกาศยุบสภาหรือไม่ อย่างไรก็ตาม แม้การเลือกแคนดิเดตนายกฯ จะมีนัยต่อการเมืองในระยะต่อไปอย่างมาก แต่จะไม่ส่งผลต่อเงินบาทมากนัก โดยหากสามารถโหวตเลือกนายกฯ ได้เร็ว ไม่ว่านายกฯ จะมาจากพรรคภูมิใจไทยหรือพรรคเพื่อไทย คาดว่าเงินบาทจะไม่ผันผวนแรง และยังทรงตัวในระดับแข็งค่าต่อไปได้ อย่างไรก็ดี หากการโหวตยืดเยื้อ หรือไม่สามารถหาข้อตกลงได้ หรือนำไปสู่การยุบสภา อาจทำให้เงินบาทผันผวน และอ่อนค่าลงได้ ประเด็นที่ต้องติดตามคือ การผ่าน พรบ. งบประมาณปี 2569 โดยในขณะนี้ได้ผ่านรัฐสภาในวาระที่ 3 ไปแล้ว ดังนั้น หากวุฒิสภาไม่ปรับแก้สาระสำคัญ ก็น่าจะสามารถประกาศใช้ พรบ. งบประมาณได้ตามกรอบเวลาเดิม ซึ่งจะไม่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและตลาดการเงินไทยนัก โดยกรณีฐาน (Baseline scenario) ที่การเลือกนายกฯ ทำได้เร็ว และ พรบ. งบประมาณผ่านได้ตามคาด เงินบาทอาจอยู่ในกรอบ 31.50-32.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐในช่วงปลายปี

นายวชิรวัฒน์ บานชื่น นักกลยุทธ์ตลาดการเงินอาวุโส ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) กล่าวเสริมว่า ในกรณี Alternative scenario คือ 1) หากมีการยุบสภา นักลงทุนอาจกังวลต่อความไม่แน่นอน หรือ 2) หากวุฒิสภาปรับแก้สาระสำคัญของ พรบ. และสภาผู้แทนราษฎรต้องพิจารณาใหม่ อาจต้องมีคณะรัฐมนตรีเต็มรูปแบบในการรับรองร่างที่จะนำขึ้นทูลเกล้าฯ ก็อาจทำให้การประกาศใช้ พรบ. งบประมาณล่าช้าออกไป ซึ่งในกรณีทั้ง 2 นี้ เงินบาทมีโอกาสอ่อนค่าในระยะสั้น โดยมองกรอบที่ราว 33.60-33.10 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ

สำหรับประเด็นอื่นที่อาจกระทบเงินบาท และต้องติดตาม คือ 1) คำตัดสิน Supreme court ของสหรัฐฯ ต่อประเด็นอำนาจในการดำเนินนโยบาย Tariffs ของทรัมป์ และ 2) แนวโน้มการลดดอกเบี้ยของ Fed และจะสามารถลดดอกเบี้ยได้ต่อเนื่องหรือไม่ และ Terminal rate จะอยู่ที่เท่าไหร่ ซึ่งการปลด Fed governor และแต่งตั้ง Fed chair ที่จะมาดำรงตำแหน่งแทน Powell ในปีหน้า จะส่งผลต่อ tone ของคณะกรรมการ FOMC

ด้านมุมมองดอกเบี้ยนโยบายไทยคาดว่า กนง. จะลดดอกเบี้ยอีกอย่างน้อย1 ครั้งภายในปีนี้ และลดต่อได้อีก 1 ครั้งในช่วงต้นปีหน้า เพื่อพยุงเศรษฐกิจไทยในช่วงที่ความไม่แน่นอนทางการเมืองกลับมาสูงขึ้น ทั้งนี้ หากเกิด Shock การเมือง เช่น พรบ. งบประมาณล่าช้า หรือการเบิกจ่ายและออกนโยบายติดขัด ก็อาจทำให้นโยบายการเงินต้องผ่อนคลายมากขึ้น โดยอาจเห็น กนง. ลดดอกเบี้ยไปที่ 0.75% ภายใน 2026H1 ได้

"USDTHB ที่ราว 31.70-32.20 เป็นระดับที่ผู้นำเข้าอาจพิจารณาซื้อได้ โดยหากการเมืองไทยได้ข้อสรุปเร็ว และเลขตลาดแรงงานสหรัฐฯ ออกมาอ่อนแอต่อเนื่อง ก็อาจทำให้ดัชนีเงินดอลลาร์อ่อนค่าต่อ และเงินบาทแข็งค่าได้ นอกจากนี้ US Yields ที่ลดลงหนุนให้ราคาทองสูงขึ้น และอาจทำให้บาทแข็งค่าต่อได้เช่นกัน แต่หาก USDTHB อยู่ที่ระดับราว 32.40-32.90 มองว่าเป็นระดับที่ผู้ส่งออกอาจพิจารณาขายได้ โดยหากการเมืองไทยยังไม่นิ่ง และเกิดความไม่แน่นอนขึ้น เช่น ยังไม่สามารถโหวตเลือกนายกฯ ในสัปดาห์นี้ คาดว่าเงินบาทอาจอ่อนค่าในช่วงสั้น ซึ่งจะเป็นจังหวะให้ผู้ส่งออกขาย USDTHB ได้ นอกจากนี้ อาจพิจารณาซื้อ Options เพื่อปิดความเสี่ยงการเมือง"
กำลังโหลดความคิดเห็น