นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้(2ก.ย.68) ที่ระดับ 32.30 บาทต่อดอลลาร์ “ทรงตัว ไม่เปลี่ยนแปลง”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา และมองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.25-32.50 บาท/ดอลลาร์ โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) เคลื่อนไหวไร้ทิศทาง ในลักษณะ Sideways แถวโซน 32.30 บาทต่อดอลลาร์ (แกว่งตัวในกรอบ 32.29-32.33 บาทต่อดอลลาร์) เนื่องจากตลาดการเงินสหรัฐฯ ปิดทำการเนื่องในวันหยุด Labor Day ส่งผลให้ปริมาณการทำธุรกรรมในตลาดการเงินเบาบางลง สะท้อนผ่านการเคลื่อนไหวไร้ทิศทางเช่นกัน ของเงินดอลลาร์ และราคาทองคำ นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดต่างก็รอลุ้น รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ โดยเฉพาะข้อมูลการจ้างงาน เพื่อประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด ก่อนที่จะปรับสถานะถือครองสินทรัพย์อย่างชัดเจน
สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ รายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตอุตสาหกรรม (ISM Manufacturing PMI) ของสหรัฐฯ ในเดือนสิงหาคม ซึ่งผู้เล่นในตลาดจะใช้ประเมินผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และประกอบการประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด ผ่านสัญญาณการจ้างงานของภาคการผลิตอุตสาหกรรมในรายงานดัชนี ISM PMI ภาคการผลิต แรงกดดันเงินเฟ้อจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และภาวะโดยรวมของภาคอุตสาหกรรมการผลิตของสหรัฐฯ โดยล่าสุด ผู้เล่นในตลาดให้โอกาสเฟดลดดอกเบี้ย 3 ครั้ง ในปีนี้ ราว 20% และประเมินเฟดมีโอกาสราว 24% ที่จะเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยอีก 4 ครั้ง ในปี 2026
ส่วนในฝั่งไทย ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาสถานการณ์การเมือง ทั้งแนวโน้มการยุบสภาโดยรัฐบาลรักษาการปัจจุบันของพรรคเพื่อไทย และแนวโน้มการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ซึ่งมีตัวแปรที่ต้องติดตาม คือ มติของพรรคประชาชน ว่าจะจับมือจัดตั้งรัฐบาลใหม่กับพรรคการเมืองใด ระหว่างฝั่งพรรคเพื่อไทย กับ พรรคภูมิใจไทย
สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เราคงมุมมองเดิมว่า เงินบาท (USDTHB) มีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ Sideways โดยอาจยังติดโซนแนวต้าน 32.50 บาทต่อดอลลาร์ ขณะที่โซนแนวรับก็ไม่ควรจะต่ำกว่าโซน 32.30 บาทต่อดอลลาร์ ไปมากนัก โดยเฉพาะในช่วงก่อนตลาดรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ (ไฮไลท์สำคัญ คือ ข้อมูลการจ้างงาน) ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด ได้อย่างมีนัยสำคัญ
อย่างไรก็ดี เงินบาทก็อาจเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าได้ในระยะสั้นนี้ ท่ามกลางความไม่แน่นอนของสถานการณ์การเมืองไทย ที่อาจทำให้ บรรดานักลงทุนต่างชาติต่างทยอยขายทำกำไรสินทรัพย์ไทยเพิ่มเติมได้ (จากการประเมินจังหวะการเข้าลงทุนในหุ้นและบอนด์ของบรรดานักลงทุนต่างชาติในปีนี้ เรามองว่า นักลงทุนต่างชาติยังพอมีโอกาสเดินหน้าขายสินทรัพย์ไทยได้พอสมควร หากสถานการณ์การเมืองไทยมีแนวโน้มวุ่นวายมากขึ้น)
ทั้งนี้ แม้เงินบาทจะเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าบ้าง ทว่า เงินบาทก็อาจพอได้แรงหนุนฝั่งแข็งค่า หากราคาทองคำยังสามารถทยอยปรับตัวสูงขึ้นทดสอบโซนแนวต้านสำคัญ 3,500 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ได้ อย่างไรก็ตาม เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดก็ควรระวังความผันผวนของราคาทองคำ ซึ่งอาจส่งผ่านมายังความผันผวนของเงินบาทได้ โดยเฉพาะหากราคาทองคำ ขาดปัจจัยหนุนเพิ่มเติม ขณะเดียวกัน ผู้เล่นในตลาดก็ปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ซึ่งอาจกดดันราคาทองคำได้พอสมควร และยิ่งสร้างแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าต่อเงินบาทได้
เราขอแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรระวังความผันผวนของตลาดค่าเงิน ในช่วงทยอยรับรู้รายงานดัชนี ISM PMI ภาคการผลิตอุตสาหกรรมของสหรัฐฯ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มการปรับดอกเบี้ยนโยบายของเฟด