xs
xsm
sm
md
lg

“นักลงทุนเกาหลีใต้เทขายหุ้น Tesla กว่า 657 ล้านดอลลาร์ หันล่าโอกาสทำกำไรในคริปโต

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



กระแสการลงทุนพลิกกลับ นักลงทุนรายย่อยเกาหลีใต้สลัดหุ้น Tesla ออกมหาศาล มูลค่ากว่า 657 ล้านดอลลาร์ในเดือนสิงหาคม หันไปเสี่ยงโชคกับคริปโตและหุ้นที่เชื่อมโยงกับดิจิทัลแอสเซท ขานรับนโยบายรัฐบาลที่เร่งปูทางสร้างระบบนิเวศสินทรัพย์ดิจิทัลระดับชาติ ล่าสุดมีนักลงทุนกว่า 10,000 รายถือครองคริปโตเกิน 750,000 ดอลลาร์ต่อคน สะท้อนเกาหลีใต้กับความพยายามเป็นศูนย์กลางคริปโตโลก

สำนักข่าว Bloomberg รายงานว่า นักลงทุนรายย่อยชาวเกาหลีใต้ตัดสินใจเทขายหุ้น Tesla คิดเป็นมูลค่า 657 ล้านดอลลาร์ ในเดือนสิงหาคม ถือเป็นการไหลออกครั้งใหญ่ที่สุดตั้งแต่ต้นปี 2566 ขณะที่ความสนใจหันเหไปสู่ตลาดคริปโตที่ผันผวนแต่มีโอกาสทำกำไรสูง อย่างไรก็ตามการเทขายครั้งนี้สะท้อนความเหนื่อยล้าและความผิดหวังจากการที่ Tesla ไม่สามารถสร้าง “เรื่องเล่าใหม่” ที่ทรงพลังเหมือนในอดีตได้อีกต่อไป

อย่างไรก็ดี แทนที่จะนักลงทุนเกาหลีใต้ลงทุนในบิ๊กเทคสหรัฐ นักลงทุนหันไปเก็งกำไรในหุ้นที่โยงกับคริปโต เช่น Bitmine Immersion Technologies ซึ่งเพียงรายเดียวก็ดึงดูดเงินไหลเข้าสุทธิ 253 ล้านดอลลาร์ โดยตัวเลขจาก Korean Center for International Finance ชี้ว่า การซื้อหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐของนักลงทุนเกาหลีใต้ร่วงฮวบจากค่าเฉลี่ย 1.68 พันล้านดอลลาร์ต่อเดือน (ช่วงม.ค.-เม.ย.) เหลือเพียง 260 ล้านดอลลาร์ในเดือนก.ค. ขณะที่สัดส่วนการลงทุนในหุ้นที่เกี่ยวกับคริปโตพุ่งจาก 8.5% เมื่อต้นปี สู่ระดับ 36.5% ในเดือนมิถุนายน ก่อนลดลงเล็กน้อยเหลือ 31.4% ในเดือนกรกฎาคม

ที่มา : Bloomberg
เทรนด์คริปโตมาแรงแทน Tesla

ทั้งนี้ แม้ว่า Tesla จะแม้ยังครองอันดับหนึ่งในฐานะหุ้นต่างประเทศที่คนเกาหลีถือมากที่สุด มูลค่ารวมกว่า 21.9 พันล้านดอลลาร์ แต่บรรยากาศการลงทุนกลับเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ETF แบบเลเวอเรจ TSLL ซึ่งให้ผลตอบแทนทวีคูณกับ Tesla เจอแรงไถ่ถอนมหาศาล 554 ล้านดอลลาร์ ในเดือนสิงหาคม ถือเป็นสัญญาณแรงศรัทธากำลังร่วงลง นักลงทุนโจมตี Tesla ที่ไม่สามารถยืนในกระแส AI ได้อย่างน่าดึงดูด เทียบกับโอกาสที่เปิดกว้างในตลาดคริปโต

นักลงทุนรุ่นใหม่พุ่งสู่ดิจิทัลแอสเซท

นอกจากนี้ในรายงานยังระบุว่าคนรุ่นใหม่ในวัย 20 กำลังเป็นคลื่นลูกใหม่ที่หนุนตลาดคริปโต โดยเฉลี่ยถือครองสินทรัพย์ดิจิทัลสูงถึง 2.69 พันล้านวอน แม้จะมีจำนวนน้อยที่สุดในกลุ่มนักลงทุนคริปโตระดับ “เศรษฐี” แต่กลับเป็นกลุ่มที่ถือครองเฉลี่ยสูงที่สุด แซงหน้าคนวัย 40 และ 50 ที่มีจำนวนมากกว่า โดยส่วนใหญ่เริ่มต้นจากการซื้อบิทคอยน์ ก่อนกระจายไปยังอัลต์คอยน์และสเตเบิลคอยน์ โดยกว่า 60% เริ่มลงทุนตั้งแต่รอบกระทิงปี 2563

ข้อมูลล่าสุดระบุว่า ปัจจุบันชาวเกาหลีใต้กว่า 27% ถือครองคริปโต มูลค่าเฉลี่ยต่อราย 13 ล้านวอน หรือราว 9,500 ดอลลาร์ และกว่า 20% ของประชากรทั้งหมด มีบัญชีซื้อขายคริปโตสะท้อนให้เห็นถึงสถานะ “มหาอำนาจคริปโต” แห่งใหม่ของโลก

ที่มา : Source: YNA
รัฐบาลโสมขาวเร่งสร้างโครงสร้างพื้นฐานคริปโต

ภายใต้การนำของประธานาธิบดี อี แจ-มยอง รัฐบาลเกาหลีใต้เร่งผลักดันการปฏิรูปเชิงโครงสร้าง โดยยกระดับคริปโตเป็น “ภารกิจระดับชาติ” ในแผนบริหาร 5 ปี ล่าสุดมีการปรับสถานะบริษัทคริปโตให้เป็น “บริษัทร่วมทุน” เปิดทางรับสิทธิพิเศษทางภาษี เงินอุดหนุน และแหล่งเงินทุนจากรัฐที่ถูกห้ามมาตั้งแต่ปี 2561 พร้อมทั้งปลดล็อกข้อจำกัดการลงทุนเชิงสถาบัน และเดินหน้าเตรียมอนุมัติ กองทุน ETF คริปโตสปอต ภายในปี 2568

ขณะที่ภาคหน่วยงานการเงินและธนาคารพาณิชย์ต่างเร่งจัดตั้งทีมดูแลคริปโต เช่น Woori Bank เปิด “Digital Asset Team” KB Financial Group จัดตั้ง “Digital Asset Response Council” และ Shinhan Bank ตั้งทีมเฉพาะกิจ 20 คน ขณะที่ธนาคารท้องถิ่น เช่น Busan Bank ก็เข้ามาลุยบล็อกเชนเต็มรูปแบบ สอดรับกับแนวโน้มที่หน่วยงาน Financial Intelligence Unit กำลังปรับปรุงมาตรการป้องกันฟอกเงิน และเตรียมออกแนวทางใช้งาน Stablecoin ภายในสิ้นปีนี้

ทั้งนี้การเทขายหุ้น Tesla ของนักลงทุนเกาหลีใต้ไม่เพียงสะท้อนการหมดเสน่ห์ของยานยนต์ไฟฟ้า แต่ยังบอกเล่า “การเปลี่ยนขั้ว” ของความเชื่อมั่นทางการลงทุนสู่สินทรัพย์ดิจิทัลที่รัฐบาลผลักดันเต็มกำลัง แม้คริปโตยังคงเสี่ยงสูง แต่ด้วยแรงสนับสนุนเชิงนโยบายและการสร้างโครงสร้างพื้นฐานเชิงสถาบัน กำลังทำให้เกาหลีใต้ก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางคริปโตระดับโลก ขณะที่ Tesla เสี่ยงสูญเสีย “แชมป์นักลงทุนรายย่อย” อย่างถาวร หากไม่สามารถคืนความเชื่อมั่นด้วยกลยุทธ์ใหม่ที่ชัดเจนในกระแสเทคโนโลยีแห่งอนาคต