xs
xsm
sm
md
lg

"ทักษิณ" ซุ่มคุย "Metaplanet" เล็งปักธงไทยเป็นศูนย์กลางการเงินใหม่อาเซียน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร เปิดเกมใหญ่ ย่องคุยผู้เล่นอุตสาหกรรมคริปโตระดับโลก หวังผลักดันไทยสู่ศูนย์กลางสินทรัพย์ดิจิทัลอาเซียน พร้อมเสนอแนวคิด “กองทุนสำรองยุทธศาสตร์” เสริมภูมิคุ้มกันเศรษฐกิจระยะยาว ท่ามกลางความท้าทายจากหนี้ครัวเรือน การท่องเที่ยวที่ชะลอตัว และการเมืองที่ยังไม่ไร้แรงเสียดทาน

นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีเปิดโต๊ะหารือกับนักลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัลระดับนานาชาติในกรุงเทพฯ เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา เพื่อถกแผนยุทธศาสตร์ผลักดันไทยให้ก้าวขึ้นเป็น ศูนย์กลางสินทรัพย์ดิจิทัลของภูมิภาค โดยหนึ่งในข้อเสนอสำคัญคือการจัดตั้ง “กองทุนสำรองเชิงยุทธศาสตร์” (Sovereign Strategic Reserve) เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งและความยืดหยุ่นให้กับระบบการเงินไทยในระยะยาว

เอกสารการประชุมที่สื่อได้ตรวจสอบระบุว่า ผู้เข้าร่วมประกอบด้วยผู้เล่นสำคัญในวงการสินทรัพย์ดิจิทัลเอเชีย เช่น UTXO Management, Metaplanet (แม้ไม่เข้าร่วมประชุมโดยตรง), Nakamoto Holdings ที่เพิ่งควบรวมกับ KindlyMD, กองทุนโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล Sora Ventures, บริษัทที่ปรึกษา AsiaStrategy, ผู้จัดจำหน่ายโทรคมนาคม Moon Inc., บริษัทถือครองสินทรัพย์ดิจิทัล Mythos Group และผู้จัดการสินทรัพย์สัญชาติไทย Kliff Capital

คิพ เตียวิวัฒน์ ผู้ก่อตั้งและหุ้นส่วนของ Kliff Capital ย้ำว่า การพบปะครั้งนี้คือ “ก้าวแรกของการปลดล็อกศักยภาพประเทศไทยสู่การเป็น Bitcoin DAT Hub แห่งอาเซียน” โดยชี้ว่าคนไทยมีความคุ้นเคยกับบิทคอยน์และคริปโตอยู่แล้ว ซึ่งถือเป็นข้อได้เปรียบเชิงวัฒนธรรมทางการเงิน

อย่างไรก็ดีแม้ไทยยังคงรักษาสถานะเป็นเศรษฐกิจใหญ่อันดับสองของอาเซียน แต่ปัญหาการเติบโตต่ำ หนี้ครัวเรือนสูง และการท่องเที่ยวที่ซบเซา ตามข้อมูลล่าสุดจากธนาคารโลก (กรกฎาคม 2568) สะท้อนว่าไทยต้องการ “แรงขับเคลื่อนใหม่” ที่คริปโตอาจเข้ามาตอบโจทย์ได้

ขณะที่นายทักษิณ ซึ่งสร้างความมั่งคั่งจากการก่อตั้ง ชิน คอร์ปอเรชัน (ปัจจุบันคือ Intouch Holdings) ได้รับแต่งตั้งเมื่อปลายปีที่แล้วให้เป็น ที่ปรึกษาไม่เป็นทางการของอาเซียน โดยนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย อันวาร์ อิบราฮิม และการปรากฏตัวครั้งนี้ยิ่งทำให้บทบาทของเขาในเวทีภูมิภาคถูกจับตามอง

อย่างไรก็ดี ชื่อของทักษิณยังคงผูกพันกับข้อครหาคอร์รัปชันและข้อพิพาททางการเมืองอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่กรณีการขายหุ้น Shin Corp ให้กับ Temasek ของสิงคโปร์ในปี 2549 ที่ถูกวิจารณ์เรื่องกฎเกณฑ์ภาษีและการถือครองโดยต่างชาติ ไปจนถึงคดีคอร์รัปชันเก่าที่ปัจจุบันยังอยู่ในชั้นศาล ซึ่งทั้งหมดอาจกลายเป็นปัจจัยกำหนดทิศทางการเมืองไทยในระยะสั้นและกลาง

ทั้งนี้ความเคลื่อนไหวครั้งนี้สะท้อนว่า “คริปโตไม่ใช่แค่เรื่องการลงทุน” แต่กำลังถูกยกขึ้นเป็น เครื่องมือเชิงยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจและการทูต การที่ทักษิณเปิดหน้ารับบทบาทเชื่อมอุตสาหกรรมโลกกับนโยบายระดับชาติ แสดงให้เห็นถึงความพยายามปักหมุดไทยบนแผนที่การเงินใหม่ ขณะที่การจับมือกับผู้เล่นระดับนานาชาติ อาจทำให้ไทยมีทางเลือกมากขึ้นในการสร้างความยืดหยุ่นต่อเศรษฐกิจที่อ่อนแรง แต่ก็เสี่ยงต่อแรงเสียดทานทางการเมืองที่ยังไม่คลี่คลาย

อย่างไรก็ดีคำถามสำคัญคือ ไทยจะสามารถสร้างสมดุลระหว่างการเป็น “ศูนย์กลางคริปโต” และการรักษาเสถียรภาพทางการเงินในประเทศได้อย่างไร และบทบาทของทักษิณจะเป็นสะพานเชื่อม หรือจะกลายเป็นชนวนความขัดแย้งทางการเมืองรอบใหม่ในอนาคต