ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ประกาศความสำเร็จจัดงาน Thailand Focus 2025: Beyond the Challenges ร่วมกับพันธมิตรหลัก คือ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) บล.เกียรตินาคินภัทร Bank of America Securities และ บล.ยูบีเอส (ประเทศไทย) ระหว่างวันที่ 27-29 ส.ค.กองทุนทั่วโลกเข้าร่วม 180 รายจาก 75 สถาบัน ในจำนวนนี้มีผู้ลงทุนจากกลุ่มประเทศหลัก ได้แก่ สิงคโปร์ มาเลเซีย ฮ่องกง และจากยุโรป ทั้งนี้ มีจากกลุ่มประเทศใหม่ ๆ ด้วย เช่น จากตะวันออกกลาง และ เอเชียใต้
นอกจากนี้ ยังมีผู้บริหารระดับสูงจาก บจ. 75 บริษัท ครอบคลุมหลากหลายขนาด ในทั้ง 8 อุตสาหกรรมในตลาดหลักทรัพย์ฯ ร่วมนำเสนอข้อมูลศักยภาพธุรกิจและทิศทางการเติบโตผ่านการประชุมทั้งแบบ Group meetings และ One-on-one meetings
นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลท.กล่าวว่า งาน Thailand Focus 2025 ในปีนี้จัดขึ้นเป็นปีที่ 19 คาดหวังให้นักลงทุนได้สัมผัสกับโอกาสดีๆ ในการลงทุน และเห็นถึงศักยภาพที่สดใส แข็งแกร่ง รวมถึงการเติบโตในอนาคตของตลาดไทย เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและดึงดูดนักลงทุนให้เข้ามาลงทุนในตลาดทุนไทยมากขึ้น และหวังว่าจะมีเงินทุนไหลเข้า (fund flow) มากขึ้นด้วย
แม้ในช่วงที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยจะซบเซา แต่ข้อมูลจาก ตลท.ชี้ให้เห็นว่านักลงทุนต่างชาติยังคงจับตามองเศรษฐกิจไทยอย่างใกล้ชิด และมองว่าไทยยังคงเป็นเศรษฐกิจที่สำคัญในอาเซียน อีกทั้งตลาดหุ้นไทยยังมีความน่าสนใจในแง่ของ Valuation และ Dividend Yield หรือผลตอบแทนจากเงินปันผลที่จูงใจ เมื่อมีความชัดเจนของอัตราภาษีสหรัฐฯ ทำให้ตลาดหุ้นไทยกลับมาน่าสนใจ แต่ระยะยาวยังมีความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจอยู่ว่าจะเติบโตหรือเร่งการเติบโตได้อย่างไร
แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมาตลาดทุนไทยจะเผชิญปัจจัยที่ไม่แน่นอน โดยเฉพาะสถานการณ์การเมืองในประเทศที่ส่งผลกระทบอยู่บ้าง แต่หากมองย้อนกลับไป นักลงทุนต่างชาติมองว่าปัจจัยทางการเมืองของไทยไม่ใช่เรื่องใหม่ และไม่ได้ทำให้แปลกใจแต่อย่างใด แต่ก็หวังว่าประเด็นการเมืองจะมีความชัดเจนมากขึ้นในอนาคต
"ที่ผ่านมานักลงทุนมีความคุ้นเคยกับการเมืองไทยไม่ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงในรูปแบบไหน ภาคธุรกิจยังเดินต่อไปได้ อาจมีการชะลอของการลงทุนภาครัฐบ้าง แต่ภาคเอกชนยังเติบโตได้ตลอด...แต่นักลงทุนอยากได้ความต่อเนื่อง หรือความแน่นอนของนโยบายมากกว่า"นายอัสสเดช กล่าว
ผู้จัดการ ตลท.เชื่อว่าแนวโน้มตลาดทุนไทยช่วงครึ่งปีหลังสถานการณ์จะดีขึ้น เพราะคาดหวังว่าเศรษฐกิจมีโอกาสเติบโตสร้าง upside ให้กับตลาดหุ้น ประกอบกับจำนวนบริษัทที่ยื่นไฟลิ่งเตรียมจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ปัจจุบันยังอยู่ที่ราว 30 บริษัท แต่ที่ผ่านมาหลายบริษัทอาจชะลอไปก่อน เนื่องจากสภาวะตลาดที่ซบเซาอยู่ช่วงหนึ่ง แต่วันนี้เข้าใจว่าความสนใจเริ่มกลับมาค่อนข้างมากแล้ว นอกจากนี้ ยังมีบริษัทขนาดใหญ่ที่อยู่ระหว่างตัดสินใจเข้ามาจดทะเบียน แต่เนื่องจากต้องพิจารณา Valuation จังหวะราคาที่เหมาะสม หรือราคาหุ้นที่บริษัทเหล่านั้นต้องการ
"วันนี้ไปป์ไลน์ IPO เรายังค่อนข้างดีอยู่ แต่ที่ผ่านมาหลายบริษัทชะลอไปเนื่องจากไม่แน่นอน วันนี้เข้าใจว่าความสนใจก็เริ่มกลับมาค่อนข้างเยอะ ขึ้นอยู่กับ momentum ใน 2-3 เดือนข้างหน้า เพราะว่าการที่จะกลับมา activated filing ใช้เวลาในการ update มีความคาดหวังว่าจะมีอะไรที่น่าตื่นเต้น น่าสนใจในครึ่งปีหลัง ไม่มากก็น้อย"นายอัสสเดช กล่าว
ขณะเดียวกัน ตลท. มีแนวคิดในการเชื่อมโยงกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เพื่อดึงบริษัทต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในไทยเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ด้วย ซึ่ง ตลท.ได้เริ่มเข้าไปพูดคุยกับบริษัทนั้น ๆ แล้ว แต่ยังต้องศึกษาอีกสักระยะ เนื่องจากบริษัทเหล่านั้นต้องใช้เวลาลงทุน สร้างโรงงาน จ้างพนักงาน อาจจะต้องใช้เวลาในการถึงเกณฑ์เข้าจดทะเบียนได้ โดย ตลท.จะพูดคุยกับก.ล.ต. เพื่อให้กระบวนการจดทะเบียนสั้นลง หรืออาจให้บริษัทแม่นำมาจดทะเบียนควบ (Dual Listing) ในตลาดหุ้นไทย ซึ่งปัจจุบันกำลังพิจารณาหลากหลายแนวทาง
นายอัสสเดช กล่าวว่า งาน Thailand Focus 2025 เป็นจุดเริ่มต้นในการสื่อสารกับนักลงทุนต่างประเทศให้มากขึ้น ที่ผ่านมาเรามีความพยายามในการนำเสนอกับนักลงทุนในประเทศค่อนข้างมาก อาทิ SET in The City รวมถึง SET สัญจร ในจังหวัดต่าง ๆ แต่กลุ่มนักลงทุนต่างประเทศเป็นกลุ่มสำคัญที่ต้องเสริมสร้างสภาพคล่องในตลาดทุน ซึ่งในอนาคตตลท. อยากหาทางจัด Road Show ในต่างประเทศให้มากขึ้น เพื่อสื่อสารกับนักลงทุนต่างประเทศ
"งาน Thailand Focus ไม่เพียงเป็นเวทีสำคัญในการนำเสนอความแข็งแกร่งและความน่าสนใจลงทุนของ บจ. ไทย แต่ยังตอกย้ำความมุ่งมั่นของตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่มุ่งยกระดับตลาดทุน สร้างความเชื่อมั่นผ่านการทำงานกับพันธมิตรทุกภาคส่วน พร้อมพัฒนากลไกส่งเสริมการลงทุนและระดมทุน โดยผู้ลงทุนสถาบันที่เข้าร่วมงานในปีนี้ ให้ความสนใจต่อความก้าวหน้าในประเด็นสำคัญด้านมหภาค เช่น การลงทุนและการสร้างความสามารถในการแข่งขันของประเทศ การบริหารจัดการหนี้ภาคครัวเรือนและความแข็งแกร่งของภาคการเงิน ตลอดจนการปรับตัวของภาคธุรกิจให้ตอบรับกับกระแสและความท้าทายในอนาคต ส่วนการประชุมร่วมระหว่าง บจ. กับผู้ลงทุนสถาบัน ยังคงได้รับความสนใจเนื่องจากมี บจ. ที่โดดเด่นกระจายตัวอยู่ในหลากหลายอุตสาหกรรม สะท้อนความสนใจลงทุนในตลาดทุนไทย" นายอัสสเดช กล่าว