นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ( KTB )และประธานสมาคมธนาคารไทยกล่าวในงาน Thailand Focus 2025 ว่า บทบาทสำคัญของธนาคารในการจัดการปัญหาหนี้ครัวเรือนทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการรวบรวมและจัดสรรสภาพคล่องไปยังภาคส่วนต่างๆ เพื่อสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจพร้อมเสนอ 5 หลักการสำคัญในการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน ได้แก่ 1.ความครอบคลุม (Inclusive) โดยใช้กลไกตลาดเป็นหลัก 2.ความยุติธรรม (Fairness) ผ่านกฎเกณฑ์และ risk-based pricing เพื่อลดปัญหา moral hazard 3.สนามแข่งขันที่เท่าเทียม (Level Playing Field) ในการปรับปรุงกฎระเบียบเพื่อไม่ให้ผู้สร้างหนี้ใหม่ได้เปรียบเจ้าหนี้เดิม 4.ความพร้อมของสถาบันการเงิน (Availability of Formal) คือ แก้ปัญหาผู้ปล่อยกู้นอกระบบ และ 5.การกู้ยืมที่ดีต่อสุขภาพ (Healthy Borrowing) โดยเน้นการกู้เพื่อการลงทุนสร้างรายได้มากกว่าการบริโภค
นอกจากนี้ ยังได้เสนอ 3 ระยะการแก้ไขปัญหาเพื่อความยั่งยืน ระยะแรกเป็นมาตรการชั่วคราว เช่น โครงการ “เราช่วยคุณ” และการลดดอกเบี้ยเพื่อบรรเทาภาระลูกหนี้ อย่างไรก็ตาม ย้ำว่าเป็นเพียงมาตรการเฉพาะหน้าเท่านั้น
ระยะที่สอง มุ่งปิดช่องว่างตาข่ายรองรับทางสังคม เนื่องจากหนี้จำนวนมากเกิดจากค่าใช้จ่ายจำเป็น เช่น การศึกษา สุขภาพ และการดูแลผู้สูงอายุ รัฐบาลและกระทรวงการคลังเตรียมนำระบบ “ภาษีรายได้เชิงลบ (Negative Income Tax)” มาใช้ในปี 2570 เพื่อสร้างฐานข้อมูลรายได้และความมั่งคั่ง ช่วยให้การกำหนดนโยบายแม่นยำและตรงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น
และระยะที่สาม คือ การสร้างรายได้และความมั่นคงทางอาชีพ โดยต้องอาศัยความร่วมมือจากภาคธนาคาร ภาคเศรษฐกิจจริง สภาอุตสาหกรรม และหอการค้า เพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของแรงงานไทยในตลาดโลก โดยรัฐบาลควรสนับสนุนผ่านมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ การลดหย่อนภาษี และสิทธิประโยชน์อื่น ๆ
ทั้งนี้ เน้นว่าการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างรัฐบาล ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และภาคเอกชน ปัจจุบันมีการจัดทำเอกสารร่าง “ความล้มเหลวในการประสานงาน” เพื่อใช้เป็นกรอบแนวทางร่วมกัน ย้ำว่า การลดดอกเบี้ยเป็นเพียงการบรรเทาระยะสั้น แต่กุญแจสู่การเติบโตยั่งยืนอยู่ที่การดำเนินการในระยะที่สองและสาม