xs
xsm
sm
md
lg

สหรัฐฯ เตรียมใช้กฎหมาย "โจรสลัดไซเบอร์" ล่อทุบแก๊งอาชญากรออนไลน์ ยึดคริปโตเข้าคลังชาติ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



สภาคองเกรสสหรัฐฯ เสนอร่างกฎหมาย “Scam Farms Marque and Reprisal Authorization Act of 2025” อนุญาตให้ประธานาธิบดีว่าจ้าง “โจรสลัดไซเบอร์เอกชน” จัดการอาชญากรดิจิทัลในระดับภัยคุกคามต่อความมั่นคง ไม่เพียงใช้มาตรการยึดทรัพย์ แต่ยังมุ่งนำคริปโตที่ยึดได้เข้าสู่กองทุนสำรองบิทคอยน์ของชาติ สะท้อนการปรับยุทธศาสตร์ไซเบอร์-การเงินของสหรัฐฯ ที่อาจเขย่าระบบการเงินโลก

กฎหมายฟื้นชีพแนวคิดศตวรรษที่ 18 สู่สงครามไซเบอร์

เดวิด ชไวเคิร์ต สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ได้ยื่นร่างกฎหมายชื่อ “Scam Farms Marque and Reprisal Authorization Act of 2025” เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา โดยมีสาระสำคัญคือการอนุญาตให้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ สามารถออก “จดหมายมาร์ก” มอบอำนาจแก่บุคคลหรือบริษัทเอกชนที่ติดอาวุธและมีศักยภาพทางเทคนิค เพื่อใช้ “ทุกวิธีการที่จำเป็นและสมเหตุสมผล” ในการยึดทรัพย์ ควบคุมตัว หรือแม้กระทั่ง “ลงโทษ” อาชญากรไซเบอร์ที่ถูกระบุว่าเป็นภัยคุกคามต่อสหรัฐฯ

ภัยคุกคามที่อยู่ในขอบเขตของกฎหมายนี้ครอบคลุมกว้าง ตั้งแต่การขโมยคริปโต การหลอกลวงแบบ “Pig Butchering” การโจมตีเรียกค่าไถ่ (Ransomware) การขโมยข้อมูลส่วนบุคคลและข้อมูลลับ การเจาะระบบคอมพิวเตอร์โดยไม่ได้รับอนุญาต การซื้อขายรหัสผ่านออนไลน์ ไปจนถึงการแพร่กระจายมัลแวร์ ซึ่งทั้งหมดถูกจัดให้เป็น “ภัยคุกคามต่อความมั่นคงเศรษฐกิจและความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ”

มิติใหม่ของสงคราม จากไซเบอร์สู่การเงินคริปโต

ร่างกฎหมายดังกล่าวนิยามพฤติกรรมเหล่านี้ว่าเป็น “การก่อสงคราม” ที่ดำเนินการโดยปัจเจกบุคคล เครือข่ายอาชญากรรม หรือแม้แต่รัฐบาลต่างชาติ โดยการนำแนวคิด “Privateer” จากยุคโจรสลัดศตวรรษที่ 18 กลับมาใช้ ถือเป็นการขยายกรอบกฎหมายให้ก้าวเข้าสู่สมรภูมิไซเบอร์และการเงินดิจิทัลเต็มรูปแบบ หากผ่านการพิจารณา จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของมาตรการไซเบอร์ซีเคียวริตี้สหรัฐฯ

พระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้าและการอนุญาตการตอบโต้ของฟาร์มหลอกลวง พ.ศ. 2568 ที่มา: รัฐสภาสหรัฐอเมริกา
จับตากลยุทธ์สะสมบิทคอยน์ผ่านการยึดทรัพย์

ข้อมูลจาก Chainalysis ชี้ว่า เดือนกรกฎาคมเพียงเดือนเดียว มีการสูญเสียคริปโตจากการโจมตีไซเบอร์มากกว่า 142 ล้านดอลลาร์ ขณะที่ยอดรวมคริปโตที่ถูกแฮกไปแล้วในปี 2568 พุ่งเกิน 3 พันล้านดอลลาร์ไปแล้ว ทรัพย์สินดิจิทัลที่ถูกยึดจากการบังคับใช้กฎหมาย อาจถูกโอนเข้าสู่การครอบครองของรัฐโดยผ่านกระบวนการศาล และกลายเป็นส่วนหนึ่งของกองทุนคริปโตสำรองของชาติ

ขณะที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ลงนามคำสั่งฝ่ายบริหารตั้งแต่เดือนมกราคมที่ผ่านมา เพื่อจัดตั้ง “กองทุนสำรองบิทคอยน์และคริปโต” โดยกำหนดให้การสะสมคริปโตทำได้ผ่านกลยุทธ์ที่ไม่เพิ่มภาระงบประมาณ เช่น การยึดทรัพย์สินจากคดีอาญา ไม่ว่าจะเป็นจากกลุ่ม Chaos ransomware ที่ถูก FBI ยึด Bitcoin กว่า 20 เหรียญ (มูลค่า 2.3 ล้านดอลลาร์) ในเท็กซัสเมื่อเดือนกรกฎาคม หรือจากกลุ่ม BlackSuit ที่ถูก DOJ ยึดคริปโตมูลค่า 1 ล้านดอลลาร์ในเดือนเดียวกัน ล่าสุดในเดือนสิงหาคม DOJ อนุมัติการยึดคริปโตเพิ่มอีก 2.8 ล้านดอลลาร์ จากกระเป๋าเงินของ อิยานิส อะเลกซานโดรวิช อันโทรเพนโก ผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าปล่อย Ransomware โจมตีเหยื่อทั่วสหรัฐฯ

อย่างไรก็ดี การฟื้นฟูกฎหมาย “Marque and Reprisal” ไม่ใช่เพียงการเสริมเขี้ยวเล็บด้านไซเบอร์ซีเคียวริตี้ แต่ยังเป็นกลยุทธ์การเงินดิจิทัลเชิงรุกของสหรัฐฯ ที่สะท้อนการใช้กฎหมายเพื่อยึดครองคริปโตเข้าคลังสำรอง หากดำเนินการจริง จะไม่เพียงทำให้สหรัฐฯ กลายเป็นเจ้าของคริปโตในปริมาณมหาศาล แต่ยังส่งแรงสั่นสะเทือนไปทั่วตลาดโลก ทั้งในแง่ราคาคริปโต ความเชื่อมั่นของนักลงทุน และสมดุลอำนาจทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ นี่อาจเป็นจุดเริ่มต้นของ “สงครามคริปโต” ยุคใหม่ ที่ใช้ทั้งกฎหมาย อำนาจรัฐ และตลาดการเงิน เป็นอาวุธกำหนดทิศทางอนาคตโลกดิจิทัล