ผู้ว่าราชการจังหวัดพัทลุงสั่งระงับกิจกรรมสแกนม่านตาแลกเหรียญคริปโต หลังบริษัทเอกชนปูพรมล่าข้อมูลประชาชนกลางห้างใหญ่แลกมูลค่าเหรียญเพียง 800 บาท แต่ความเสี่ยงสูงลิ่ว ก่อกระแสวิจารณ์ถึงบทบาท ก.ล.ต.ที่ควรเข้ามากำกับดูแล ขณะที่คำถามเรื่องความมั่นคงไซเบอร์และความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคลกำลังท้าทายระบบกำกับดูแลไทยอย่างเข้มข้น
ผู้ว่าฯ พัทลุงสั่งเบรกทันที หวั่นเสี่ยงไซเบอร์–ละเมิดกฎหมายการเงิน
เมื่อวันที่ 20 ส.ค. นายรัฐศาสตร์ ชิดชู ผู้ว่าราชการจังหวัดพัทลุง ออกคำสั่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าตรวจสอบและระงับกิจกรรมของบริษัทเอกชนรายหนึ่ง ที่จัดขึ้นในห้างโลตัส ต.เขาเจียก อ.เมืองพัทลุง จังหวัดพัทลุง โดยเปิดให้ประชาชนสแกนม่านตาเพื่อแลกกับเหรียญคริปโต มูลค่าประมาณ 800 บาทต่อราย
เบื้องต้นตรวจสอบพบว่ากิจกรรมนี้ดำเนินการภายใต้ชื่อ “World” ซึ่งสร้างข้อกังวลอย่างมากต่อความมั่นคงทางไซเบอร์ เนื่องจากมีการเก็บข้อมูลอัตลักษณ์ส่วนบุคคลหรือ Biometrics ในแบบข้อมูลม่านตา ที่ถือเป็นข้อมูลส่วนบุคคลระดับละเอียดอ่อน และอาจถูกนำไปใช้ผิดกฎหมายในอนาคต
ตั้งข้อสงสัยเข้าข่ายผิดกฎหมายการเงิน
อย่างไรก็ดี ทางจังหวัดยังตั้งข้อสังเกตว่า การแลกเปลี่ยนดังกล่าวอาจเข้าข่ายการทำธุรกรรมเงินตราที่ไม่เป็นไปตามกฎหมาย หรือการสร้างมูลค่าให้กับสกุลเงินดิจิทัลโดยปราศจากการกำกับดูแลจากหน่วยงานรัฐ ขณะที่คำถามสำคัญเริ่มขยายตัวว่า เหตุใดหน่วยงานกำกับดูแลตรงเช่น ก.ล.ต. จึงยังคงเงียบเฉยอยู่
เสียงวิจารณ์สังคมตั้งคำถาม “ก.ล.ต.มัวทำอะไรอยู่?”
การระงับกิจกรรมในพัทลุงสะท้อนช่องโหว่ของระบบกำกับดูแลตลาดคริปโทในไทย ที่ยังคงพึ่งพาการตื่นตัวของจังหวัดและเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นเป็นหลัก ขณะที่ประชาชนตั้งคำถามแรงว่า การเก็บข้อมูลชีวมิติขนาดใหญ่เช่นนี้ ก.ล.ต. และหน่วยงานความมั่นคงทางดิจิทัลควรเข้ามามีบทบาทตั้งแต่ต้น ไม่ใช่รอจนเกิดเหตุจึงค่อยตรวจสอบ
ทั้งนี้ กรณี “Worldcoin” ที่พัทลุงไม่เพียงสะท้อนความเสี่ยงด้านข้อมูลและกฎหมาย แต่ยังชี้ให้เห็นปัญหาเชิงโครงสร้างของการกำกับดูแลสินทรัพย์ดิจิทัลในไทย การเก็บข้อมูลทางชีวมิติแลกกับเหรียญมูลค่าเพียงหลักร้อยอาจเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของความเสี่ยงขนาดใหญ่ สังคมจึงจับตาว่า ก.ล.ต.และหน่วยงานส่วนกลางจะ “ลุกขึ้นทำงาน” อย่างจริงจังหรือยังคงปล่อยให้ท้องถิ่นแก้ปัญหาไปวันๆ ซึ่งอาจเป็นสัญญาณอันตรายต่อความเชื่อมั่นในระบบกำกับดูแลทั้งระบบ