นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทยมองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 32.00-32.75 บาท/ดอลลาร์ และกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วงโมงข้างหน้า คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.35-32.55 บาท/ดอลลาร์ จากระดับเปิดเช้านี้ (18ส.ค.68)ที่ระดับ 32.48 บาทต่อดอลลาร์
“อ่อนค่าลงเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง”
จากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้า ณ ระดับ 32.43 บาทต่อดอลลาร์ โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนวันศุกร์สัปดาห์ก่อนหน้า เงินบาท (USDTHB) เคลื่อนไหวอ่อนค่าลงเล็กน้อยในลักษณะ Sideways Up (แกว่งตัวในกรอบ 32.41-32.51 บาทต่อดอลลาร์) โดยมีจะมีจังหวะอ่อนค่าลงทดสอบโซนแนวต้าน 32.50 บาทต่อดอลลาร์ ตามจังหวะการรีบาวด์ขึ้นบ้างของเงินดอลลาร์ ที่มาพร้อมกับการย่อตัวลงของราคาทองคำ หลังรายงานอัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ (Inflation Expectations) ระยะสั้นและระยะยาว ซึ่งจัดทำโดยมหาวิทยาลัยมิชิแกน (เป็นส่วนหนึ่งของรายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค U of Michigan Consumer Sentiment) ได้ปรับตัวสูงขึ้นมากกว่าที่ตลาดประเมินไว้ ทำให้ผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดลงบ้าง โดยล่าสุด ผู้เล่นในตลาดให้โอกาสราว 17% ที่เฟดจะสามารถลดดอกเบี้ยได้ 3 ครั้ง ในปีนี้ และให้โอกาสราว 82% ที่เฟดจะเดินหน้าลดดอกเบี้ยอีก 3 ครั้ง ในปี 2026
ทั้งนี้ การอ่อนค่าของเงินบาทก็เป็นไปอย่างจำกัด หลังผู้เล่นในตลาดต่างก็รอทยอยขายเงินดอลลาร์ หากเงินบาทอ่อนค่าลงทดสอบโซนแนวต้าน อีกทั้ง ราคาทองคำก็เริ่มรีบาวด์ขึ้นบ้าง ในช่วงเปิดทำการช่วงเช้าของตลาดการเงินฝั่งเอเชีย
สำหรับในสัปดาห์นี้ เรามองว่า ควรรอติดตาม รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญจากฝั่งสหรัฐฯ ยุโรป และญี่ปุ่น พร้อมรอติดตาม ถ้อยแถลงของประธานเฟด ในงาน Jackson Hole Symposium
สำหรับแนวโน้มเงินบาท เราคงมุมมองเดิมว่า เงินบาทยังคงเผชิญความเสี่ยง Two-Way risk (เคลื่อนไหวได้ทั้งด้านอ่อนค่าและแข็งค่า) ตามการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด โดยล่าสุด บรรดาผู้เล่นในตลาดได้ปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ย 3 ครั้ง ของเฟดในปีนี้ มาพอสมควร (โอกาสเพียง 19%) ทำให้ในระยะสั้น ตลาดอาจไม่ได้ปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดไปอีกมากนัก จนกว่าจะรับรู้ รายงานข้อมูลการจ้างงานเดือนสิงหาคม ซึ่งจะรับรู้ในช่วงสัปดาห์แรกของเดือนกันยายน นอกจากนี้ ในส่วนของ positioning นั้น ผู้เล่นในตลาดก็ได้ปรับลดสถานะ Net Short USD (มองเงินดอลลาร์อ่อนค่า) ลงมาพอสมควร จนเรียกได้ว่า เกือบจะ Flat/Neutral positions ทำให้เงินดอลลาร์ก็พร้อมเคลื่อนไหวได้ทั้งสองทิศทาง ตามการรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม
อนึ่ง ไฮไลท์สำคัญ อย่าง ถ้อยแถลงของประธานเฟด Jerome Powell ในงานสัมนาวิชาการประจำปีของเฟด (Jackson Hole Symposium) ก็อาจไม่ได้ส่งสัญญาณชัดเจนต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ทำให้เราประเมินว่า หากผู้เล่นในตลาดต่างผิดหวังกับถ้อยแถลงของประธานเฟด ก็อาจปรับลดโอกาสเฟดลดดอกเบี้ย 3 ครั้ง ในปีนี้ รวมถึงโอกาสเฟดลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนกันยายนลงบ้าง ทำให้เงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจปรับตัวสูงขึ้น กดดันราคาทองคำและเงินบาท ทว่า การอ่อนค่าของเงินบาท (USDTHB) ก็อาจเป็นไปอย่างจำกัด เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างก็รอทยอยขายเงินดอลลาร์ หากเงินบาทมีการอ่อนค่าลงเข้าใกล้โซนแนวต้าน
นอกเหนือจากมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด เรายังคงมองว่า การเคลื่อนไหวของทั้งเงินหยวนจีน (CNY) และราคาทองคำ จะเป็นปัจจัยที่อาจส่งผลต่อเงินบาทพอสมควร เนื่องจากในช่วงนี้ ทั้งสองสินทรัพย์ได้เคลื่อนไหวสอดคล้องกับเงินบาทมาก
อนึ่ง เมื่อประเมินด้วยกลยุทธ์ Trend-Following เงินบาทจะกลับมาอยู่ในแนวโน้มอ่อนค่าลงอีกครั้ง หากสามารถอ่อนค่าทะลุโซน 32.65 บาทต่อดอลลาร์ ได้ชัดเจน (หรืออ่อนค่าทะลุเส้นค่าเฉลี่ย 50 วัน)
ในส่วนเงินดอลลาร์นั้น เราคงมองว่า เงินดอลลาร์ยังคงเผชิญ Two-Way risk (เคลื่อนไหวได้สองทิศทาง) ขึ้นกับการปรับมุมมองต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดของผู้เล่นในตลาด หลังรับรู้รายงายข้อมูลเศรษฐกิจและการส่งสัญญาณต่อแนวโน้มนโยบายการเงินของเฟดจากบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด โดยเฉพาะประธานเฟด