นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทยมองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 32.00-32.75 บาท/ดอลลาร์ และกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วงโมงข้างหน้า คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.30-32.50 บาท/ดอลลาร์ จากระดับเปิดเช้านี้ (13ส.ค.69)ที่ 32.40 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงเล็กน้อย”จากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้า ณ ระดับ 32.33 บาทต่อดอลลาร์ (ระดับปิด ณ วันที่ 8 สิงหาคม) โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนวันศุกร์สัปดาห์ก่อนหน้า เงินบาท (USDTHB) เคลื่อนไหวอ่อนค่าลงเล็กน้อยในลักษณะ Sideways Up (แกว่งตัวในกรอบ 32.29-32.50 บาทต่อดอลลาร์) โดยมีจะมีจังหวะอ่อนค่าลงทดสอบโซนแนวต้าน 32.50 บาทต่อดอลลาร์ ในช่วงวันหยุดทำการของตลาดการเงินไทย หลังเงินดอลลาร์ พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้น กดดันให้ราคาทองคำปรับตัวลดลง
ทว่า เงินบาทก็พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นและมีจังหวะทดสอบโซนแนวรับ 32.30 บาทต่อดอลลาร์ หลังในช่วงคืนที่ผ่านมา ผู้เล่นในตลาดได้ปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดในการประชุม FOMC เดือนกันยายน จากรายงานข้อมูลอัตราเงินเฟ้อ CPI เดือนกรกฎาคม ล่าสุด ที่ออกมาผสมผสาน โดยอัตราเงินเฟ้อ CPI ยังคงทรงตัวที่ระดับ 2.7% น้อยกว่าคาดเล็กน้อย (2.8%) ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน Core CPI สูงขึ้นสู่ระดับ 3.1% สูงกว่าคาดเล็กน้อย (3.0%) อนึ่งการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทก็ถูกชะลอลงบ้าง หลังราคาทองคำเผชิญแรงกดดันจากภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินโดยรวม
สัปดาห์ที่ผ่านมา เงินดอลลาร์อ่อนค่าลง ตามการแข็งค่าขึ้นของเงินปอนด์อังกฤษ (GBP) หลังผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังการลดดอกเบี้ยของ BOE แต่ยังคงมั่นใจว่า เฟดมีโอกาสลดดอกเบี้ย 2-3 ครั้ง ในปีนี้
สำหรับในสัปดาห์นี้ เรามองว่า ควรรอติดตาม รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ และถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด พร้อมรอลุ้น ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ของไทย
สำหรับ แนวโน้มเงินบาท เราคงมุมมองว่า เงินบาทยังคงเผชิญความเสี่ยง Two-Way risk (เคลื่อนไหวได้ทั้งด้านอ่อนค่าและแข็งค่า) ตามการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ซึ่งเราประเมินว่า บรรดาผู้เล่นในตลาดได้คาดหวังแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดในการประชุมเดือนกันยายน และการลดดอกเบี้ยของเฟดในปีนี้ ไปพอสมควรแล้ว ทำให้เรามองว่า เงินบาทมีความเสี่ยงทยอยอ่อนค่าลงได้ ในกรณีที่ผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ซึ่งเรามองว่าต้องรอลุ้น รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ และจับตาถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด นอกจากนี้ การเคลื่อนไหวของเงินบาทก็เริ่มสอดคล้องกับทิศทางราคาทองคำมากขึ้น ทำให้ เรามองว่า ต้องจับตาทิศทางราคาทองคำด้วยเช่นกัน ซึ่งบรรยากาศในตลาดการเงินก็จะเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของราคาทองคำ หลังตลาดได้รับรู้แนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดไปพอควรแล้ว
หากผู้เล่นในตลาดเพิ่มโอกาสที่เฟดจะลดดอกเบี้ยได้ 3 ครั้ง ในปีนี้ ในกรณีที่ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาแย่กว่าคาด และบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด ก็ออกมาสนับสนุนการเดินหน้าลดดอกเบี้ย เงินดอลลาร์ก็เสี่ยงอ่อนค่าลงต่อ และอาจเห็นการปรับตัวสูงขึ้นของราคาทองคำ หนุนให้ เงินบาทแข็งค่าขึ้นเข้าใกล้โซนแนวรับ 32.30 บาทต่อดอลลาร์ (แนวรับถัดไป 32.10 บาทต่อดอลลาร์) แต่หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาดีกว่าคาด พร้อมกับภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงิน ทำให้ผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดบ้าง ก็อาจหนุนการรีบาวด์ขึ้นของเงินดอลลาร์ ส่วนราคาทองคำเสี่ยงย่อตัวลง กดดันให้เงินบาทอาจอ่อนค่าเหนือโซนแนวต้านแรก 32.50 บาทต่อดอลลาร์ และมีโอกาสอ่อนค่าทดสอบแนวต้านถัดไป 32.70-32.80 บาทต่อดอลลาร์ ได้
อนึ่ง เมื่อประเมินด้วยกลยุทธ์ Trend-Following เงินบาทจะกลับมาอยู่ในแนวโน้มอ่อนค่าลงอีกครั้ง หากสามารถอ่อนค่าทะลุโซน 32.50 บาทต่อดอลลาร์ ได้ชัดเจน (หรืออ่อนค่าทะลุเส้นค่าเฉลี่ย 50 วัน)
ในส่วนเงินดอลลาร์นั้น เราคงมองเงินดอลลาร์ยังคงเสี่ยงผันผวนสูงและเผชิญ Two-Way risk (เคลื่อนไหวได้สองทิศทาง) ขึ้นกับการปรับมุมมองต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดของผู้เล่นในตลาด ซึ่งจะขึ้นกับรายงายข้อมูลเศรษฐกิจและมุมมองของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด