“ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป” มีปัจจัยบวกช่วยสนับสนุนช่วงที่เหลือปี 2568 หลังได้ความชัดเจนภาษีนำสินค้าเข้าสหรัฐฯ แถม “มิตซูบิชิ คอร์ปอเรชั่น”ประกาศขอเข้าถือหุ้นเพิ่มเป็น 20% สะท้อนศักยภาพบริษัทซึ่งเป็นผู้นำอาหารทะเล คาดปรับตัวขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่ไตรมาส 3 แม้ยอดขายที่ผ่านมาลดลง ขณะสภาพคล่องและสถานะการเงินยังแข็งแกร่ง
สัปดาห์ที่ผ่านมา (4-8 ส.ค.68) ถ้านอกเหนือจากกระแสเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศที่ไหลกลับเข้ามาสู่ตลาดหุ้นไทย และการกลับเข้ามาซื้อขายอีกครั้งบนกระดานหลักทรัพย์ของ บมจ.การบินไทย (THAI) ก็ต้องยกให้กับ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU ที่มีดีลทางธุรกิจที่น่าสนใจจนทำให้ราคาหุ้นปรับตัวอย่างมีนัยสำคัญ
เหตุการณ์ดังกล่าวเริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 4 ส.ค. 2568 นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TU แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯว่า บริษัทได้รับหนังสือจาก “มิตซูบิชิ คอร์ปอเรชั่น” ซึ่งแจ้งเจตจำนงในการเข้าซื้อหุ้นของบริษัทเพิ่มเติม โดยการรับซื้อหุ้นเป็นการทั่วไป โดย “มิตซูบิชิ คอร์ปอเรชั่น” ผู้ยื่นข้อเสนอ
สำหรับ “มิตซูบิชิ คอร์ปอเรชั่น” เป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจการค้า และการลงทุนแบบบูรณาการซึ่งพัฒนาและดำเนินธุรกิจที่หลากหลายในหลายอุตสาหกรรมผ่านเครือข่ายระดับโลก มีความเชี่ยวชาญที่ครอบคลุม ในด้านการจัดจำหน่าย การค้าระหว่างประเทศ การขนส่งและโลจิสติกส์ขนาดใหญ่ รวมถึงประสิทธิภาพในการดำเนินงาน มีความเกี่ยวข้องอย่างยิ่งกับการดำเนินธุรกิจอาหารทะเลระดับโลกของบริษัท
ส่วนสาเหตุของการตัดสินใจลงเพิ่มเติมในหุ้น TU ผู้ยื่นข้อเสนอให้เหตุผลว่า เพื่อเพิ่มมูลค่าสูงสุดจากกิจกรรมทางธุรกิจ ด้วยความมุ่งมั่นต่อการเติบโตอย่างยั่งยืน การพัฒนานวัตกรรม และการพัฒนาความร่วมมือระดับสากล ซึ่งฝ่าย TU ก็มองว่า “มิตซูบิชิ คอร์ปอเรชั่น” เป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ที่เหมาะสมสำหรับการบรรลุวัตถุประสงค์ทางธุรกิจของบริษัท
นั่นทำให้ “มิตซูบิชิ คอร์ปอเรชั่น และ TU มีแผนร่วมมือกันเชิงกลยุทธ์อย่างเป็นทางการโดยการเข้าลงนามในสัญญาความร่วมมือทางธุรกิจ (Business Alliance Agreement) เพื่อการกำหนดความร่วมมือระหว่างกัน การประเมินแนวโน้มการลงทุน และการสำรวจกลยุทธ์การเติบโต โดยอาศัยเครือข่ายของผู้ยื่นข้อเสนอ ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการเข้าถึงตลาดของบริษัท
สัดส่วนหุ้นTUในมือ “มิตซูบิชิ”
ทั้งนี้ ณ วันที่ 31 ก.ค.2568 “มิตซูบิชิ คอร์ปอเรชั่น” ถือหุ้นใน TU จำนวน 238,745,120 หุ้น ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 6.19% หรือ 5.36% ของจำนวนหุ้นที่ออกจำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัท อย่างไรก็ตามภายใต้ข้อจำกัดการถือหุ้นของคนต่างด้าว ทาง “มิตซูบิชิ คอร์ปอเรชั่น” มีความประสงค์จะเข้าซื้อหุ้นในบริษัทเพิ่มเติมจำนวน 532,273,639 หุ้น หรือคิดเป็น 13.81% ของจำนวนหุ้นที่ออกจำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัท
และจะทำให้ “มิตซูบิชิ คอร์ปอเรชั่น” กลายเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัท รวมทั้งสิ้น 771,018,759 หุ้น หรือคิดเป็น 20% ของหุ้นที่ออกจำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัท (ไม่รวมหุ้นซื้อคืนที่บริษัทถืออยู่)
ราคาหุ้นทรุดกลัวกลุ่มเดิมถอนตัว
อย่างไรก็ตามทันทีที่มีข่าวดังกล่าว พบว่า ราคาหุ้น TU ได้ปรับตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากนักลงทุนเข้าใจผิดว่า ผู้ถือหุ้นใหญ่กลุ่มTU จะทิ้งธุรกิจและบริษัทจะถูกเทกโอเวอร์ นั่นทำให้ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TU ออกมาชี้แจงเรื่องดังกล่าว โดยยืนยันว่าครอบครัวยังคงถือหุ้นใหญ่สุดที่ 30% ขณะที่ “มิตซูบิชิ คอร์ปอเรชั่น” ได้ถือหุ้นมานานกว่า 30 ปีแล้ว และการเพิ่มทุนครั้งนี้เป็นการลงทุนเชิงกลยุทธ์ (strategic partnership) เพื่อเป็นพันธมิตรทางธุรกิจ และนำจุดแข็งของทั้งสองฝ่ายมาร่วมกันพัฒนาธุรกิจการค้ามากขึ้น
สำหรับการประสานความร่วมมือในครั้งนี้สอดคล้องกับกลยุทธ์ Strategy 2030 ของTU โดยมี 3 ปัจจัยหลักคือ การสร้างการเติบโตจากความต้องการอาหารทะเลและโภชนาการที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก โดยการรวมจุดแข็งของ TU ในฐานะผู้ผลิตอาหารทะเลแปรรูปกับเครือข่ายของมิตซูบิชิฯ ซึ่งจะช่วยให้เข้าถึงวัตถุดิบและเสริมความยืดหยุ่นของห่วงโซ่อุปทาน
ถัดมาคือ การสร้างการเติบโตในผลิตภัณฑ์ที่ตลาดต้องการสูง เช่น อาหารทะเลและอาหารสัตว์เลี้ยง ซึ่งสอดคล้องกับเทรนด์ผู้บริโภค และการผลักดันเป้าหมายด้านความยั่งยืน
ไม่เพียงเท่านี้ มีรายงานว่า TU สนใจการพัฒนาตลาดซูชิในสหรัฐฯ และตลาดอาหารสัตว์เลี้ยง และคาดว่าจะเห็นความร่วมมือที่ชัดเจนมากขึ้นในปี 2569 เช่นเดียวกับที่มีรายงานว่ากองทุนต่างชาติเริ่มกลับมาให้ความสนใจลงทุนในหุ้น TU มากขึ้น หลังจากลดการลงทุนไปก่อนหน้านี้ เนื่องจากเห็นความชัดเจนเรื่องภาษี (Tariff) ที่ 19% และขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยที่ได้เปรียบ ซึ่งความร่วมมือครั้งนี้ทำให้มั่นใจว่าธุรกิจจะเติบโตอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน
คาดช่วยหนุนผลงานQ3/68
ขณะที่ ภาพรวมตลาดเชื่อว่า ดีลดังกล่าวให้ผลลัพธ์เป็นบวกต่อ TU เนื่องจากส่งผลให้เกิด Sentiment เชิงบวกต่อแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 3/68 ของบริษัทที่คาดว่าจะฟื้นตัวได้ดีจาก 2 ไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจากการเข้าถือหุ้นเพิ่มของมิตซูบิชิ คาดว่าจะทำให้เกิด Synergy หรือการผนึกกำลังกันในอนาคต
ส่วนราคาหุ้น TU ในปัจจุบัน หลายฝ่ายมองว่าได้ปรับขึ้นมาค่อนข้างมากแล้ว จึงอาจเป็นการเข้าเทรดดิ้ง มากกว่าการลงทุนในระยะยาว ทำให้มีกลยุทธ์คือเข้าซื้อเมื่อราคาย่อตัวลงมา และขายออกเมื่อราคาปรับตัวสูงขึ้น
ผลประกอบการยังแข็งแกร่ง
สำหรับ TU มีมติให้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาล จากผลดำเนินงานงวดวันที่ 1 ม.ค.-30 มิ.ย.2568 และกำไรสะสม โดยจ่ายเป็นเงินสดให้ผู้ถือหุ้นสามัญ ในอัตรา 0.35 บาทต่อหุ้น โดยจะจ่ายในวันที่ 1 ก.ย. 2568 และเห็นชอบวันกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับปันผล (Record date) วันที่ 18 ส.ค. 2568 และ วันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) วันที่ 15 ส.ค. 2568
โดยในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 บริษัทรายงานผลการดำเนินงานที่ชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนจากยอดขายลดลง 7.8% และกำไรขั้นต้นลดลงเล็กน้อย 0.8% ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวดีขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนมาอยู่ที่ 19.3%
ขณะเดียวกันบริษัทมีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเพิ่มขึ้น 6.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนใหญ่เป็นผลจาก transformation costs และค่าใช้จ่ายในการบริหารที่เพิ่มขึ้น รวมถึงส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมและกิจการร่วมค้าเพิ่มขึ้น 32.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนใหญ่มาจาก Avanti Group และต้นทุนทางการเงินลดลง 7.5%
ก่อนหน้านี้ TU รายงานนักลงทุนว่า ในปี 2568 บริษัทจะเผชิญความท้าทายจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่เติบโตช้า และเงินเฟ้อคงที่ แต่ภาพรวมผลประกอบการครึ่งปีแรกยังคงแข็งแกร่ง ด้วยกำไรสุทธิปรับตัวเพิ่มขึ้น แม้ยอดขายลดลง และมีการควบคุมต้นทุนอย่างเข้มงวด นอกจากนี้ บริษัทประเมินภาษีเพิ่มเติมในปีนี้ไว้ที่ประมาณ 300 ล้านบาท และคาดหวังมาตรการเยียวยาจากภาครัฐ
สะท้อนได้จาก เมื่อเร็ว ๆ นี้ ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 7,000 ล้านบาทและไถ่ถอนภายใน 10ปีของ TU ที่ระดับ “A+”โดยบริษัทจะนําเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ในครั้งนี้ไปใช้ชําระคืนหนี้เงินกู้เดิมของบริษัทใช้เป็นเงินทุนในการดําเนินงานและใช้ลงทุนในอนาคตในขณะเดียวกัน
พร้อมกันนี้ยังคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันของบริษัทที่ระดับ “A+” ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่”อันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งของบริษัทในฐานะหนึ่งในผู้ผลิตอาหารทะเลแปรรูปชั้นนําของโลก รวมถึงการมีสินค้าและตลาดที่หลากหลาย และแบรนด์สินค้าที่แข็งแกร่ง
อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตยังคงมีข้อจํากัดจากความเสี่ยงด้านภาษีนําเข้าของสหรัฐอเมริกา ภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวตลอดจนความผันผวนของราคาสินค้าและอัตราแลกเปลี่ยนทำให้ผลการดําเนินงานของบริษัทในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 อ่อนแอกว่าที่คาดการณ์ไว้เดิม อันเป็นผลมาจากรายได้ที่ลดลงในกลุ่มธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็ง ตลอดจนค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นมากและค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมจากโครงการปรับโครงสร้างตามแผนกลยุทธ์ของบริษัท (Transformation Project)ส่งผลให้รายได้จากการดําเนินงานรวมของบริษัทลดลง 7.9% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้ามาอยู่ที่ระดับ 63,000 ล้านบาทในขณะที่ EBITDA ของบริษัทลดลง12.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนมาอยู่ที่ระดับ 5,500 ล้านบาท
มาตรการการค้ายังกดดัน
นอกจากนี้ บริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินสุทธิที่ปรับปรุงแล้วต่อ EBITDA อยู่ที่ระดับ 5.2เท่าในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ซึ่งเพิ่มขึ้นจากระดับ 4.4เท่าในปี 2567ในระยะข้างหน้าคาดว่าบริษัทอาจเผชิญกับแรงกดดันจากมาตรการทางการค้าเนื่องจากบริษัทพึ่งพาการส่งออกไปยังตลาดสหรัฐอเมริกาเป็นสัดส่วนสําคัญ ทั้งนี้ ล่าสุด สหรัฐฯ ได้ประกาศใช้อัตราภาษีตอบโต้การค้าที่ระดับ19% สําหรับสินค้าส่งออกจากประเทศไทยซึ่งอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับอัตราภาษีที่บังคับใช้กับประเทศผู้ผลิตอาหารทะเลรายใหญ่อื่นๆ
อย่างไรก็ดี อัตราภาษีใหม่นี้คาดว่าจะช่วยสนับสนุนให้บริษัทสามารถรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันในอุตสาหกรรมได้อย่างต่อเนื่องนอกจากนี้ การที่บริษัทมีเครือข่ายฐานการผลิตอยู่ในหลายประเทศ ประกอบกับการดําเนินมาตรการบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ จะช่วยลดทอนผลกระทบเชิงลบที่อาจเกิดขึ้นได้บางส่วน อีกทั้งยังมีส่วนช่วยในการเสริมสร้างเสถียรภาพและความยั่งยืนให้กับบริษัทได้ในระยะยาว
สภาพคล่องยังช่วยหนุนธุรกิจ
ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งมีมุมมองว่าสภาพคล่องของบริษัทอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้ โดยบริษัทมีภาระหนี้ที่จะครบกําหนดชําระในช่วง 12 เดือนข้างหน้าจํานวน 35,000 ล้านบาท ประกอบด้วยเงินกู้ระยะสั้นจํานวน 20,000ล้านบาท เงินกู้ระยะยาวจํานวน 12,000 ล้านบาทและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน จํานวน 2,500 ล้านบาท ในขณะที่คาดว่าค่าใช้จ่ายตามแผนการลงทุนจะอยู่ที่ประมาณ 4,000 ล้านบาทในปี 2568 แหล่งที่มาของเงินทุนของบริษัทณ สิ้นเดือนมิถุนายน2568 ประกอบด้วยเงินสดในมือจํานวน 9,200 ล้านบาทและกระแสเงินสดจากการดําเนินงานประมาณ 7,000 ล้านบาทในช่วง 12 เดือนข้างหน้าตลอดจนวงเงินสินเชื่อระยะสั้นที่ยังไม่ได้เบิกใช้ประมาณ 21,000 ล้านบาท
ขณะเดียวกัน ณ เดือนมิถุนายน2568 บริษัทมีหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยซึ่งไม่รวมภาระผูกพันในสัญญาเช่ารวมทั้งสิ้นจํานวน 75,000 ล้านบาทโดยในจํานวนนี้เป็นหนี้ที่มีลําดับในการได้รับชําระคืนก่อนประมาณ 1,300 ล้านบาท คิดเป็นอัตราส่วนหนี้ที่มีลําดับในการได้รับชําระคืนก่อนต่อหนี้สินรวมของบริษัทอยู่ที่เพียง 2% ตามข้อกําหนดทางการเงินของตราสารหนี้ที่ระบุให้บริษัทต้องดํารงอัตราส่วนหนี้ที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อทุนต่ํากว่า 2.0 เท่านั้น โดย ณ เดือนมิถุนายน2568บริษัทมีอัตราส่วนดังกล่าวอยู่ที่ 1.1เท่า ซึ่งคาดว่าบริษัทน่าจะสามารถปฏิบัติตามข้อกําหนดทางการเงินดังกล่าวได้ตลอดช่วงระยะเวลา 12-18 เดือนข้างหน้า
“มิตซูบิชิ” ถือหุ้นเพิ่มไม่กระทบ
สิ่งที่น่าสนใจเพิ่มเติมสำหรับ TU คือ การที่ บริษัท มิตซูบิชิ คอร์ปอเรชั่นได้แจ้งเจตจํานงในการลงทุนเพิ่มเติมในบริษัทอีก 13.8% คิดเป็นมูลค่าประมาณ 6,000 – 7,000 ล้านบาท ซึ่งจะส่งผลให้สัดส่วนการถือหุ้นของบริษัทมิตซูบิชิ คอร์ปอเรชั่นในบริษัทเพิ่มขึ้นเป็น 20% ทั้งนี้ข้อตกลงดังกล่าวยังอยู่ภายใต้เงื่อนไขบางประการ และการลงทุนนี้มีเป้าหมายเพื่อเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างกันให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
โดยหากธุรกรรมนี้เสร็จสมบูรณ์ คาดว่าทีมผู้บริหารและการดําเนินธุรกิจของบริษัทจะไม่เปลี่ยนแปลงโดยบริษัทมิตซูบิชิคอร์ปอเรชั่นจะส่งตัวแทนสองคนเข้าดํารงตําแหน่งในคณะกรรมการบริหารของบริษัท ซึ่งมีสมาชิกทั้งหมด 12 คนทั้งนี้ ในฐานะที่ทั้งสองบริษัทได้ดําเนินธุรกิจร่วมกันมาอย่างยาวนานกว่า 30 ปี
นั่นทำให้การเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นในครั้งนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่ออันดับเครดิตหรือแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทแต่อย่างใดแนวโน้มอันดับเครดิตแนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงการคาดการณ์ว่าบริษัทจะยังคงรักษาความได้เปรียบในการแข่งขันเอาไว้ได้จากการประหยัดจากขนาดและการเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต ไม่เพียงเท่านี้คาดว่าบริษัทจะสามารถรักษาอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อEBITDA ให้อยู่ที่ระดับประมาณ 4-5 เท่าเอาไว้ได้