WSJ แฉทรัมป์เดินเกมเร็ว จ่อออกคำสั่งฝ่ายบริหารไล่บี้ธนาคารสหรัฐฯ หลังถูกกล่าวหาสมรู้ร่วมคิดกับรัฐบาลไบเดนกีดกันอุตสาหกรรมคริปโตและกลุ่มอนุรักษ์นิยมทางการเมืองผ่านมาตรการ “ตัดเงิน ปิดบัญชี” ลักษณะเดียวกับปฏิบัติการ Choke Point 2.0 พร้อมขู่ส่งเรื่องให้กระทรวงยุติธรรมเอาผิดเต็มรูปแบบ
กระแสการเมืองในสหรัฐฯ กำลังปั่นป่วนอีกครั้ง เมื่อมีรายงานว่าโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กำลังเตรียมลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารที่อาจพลิกเกมการเงินทั้งระบบ โดยมีเป้าหมายเพื่อสอบสวนธนาคารรายใหญ่ที่ถูกกล่าวหาว่ามีบทบาทใน “การถอดถอนทางการเงิน” ต่ออุตสาหกรรมคริปโตและกลุ่มอนุรักษ์นิยม
รายงานจาก The Wall Street Journal ระบุว่า ทำเนียบขาวเตรียมสั่งให้หน่วยงานกำกับดูแลธนาคาร ตรวจสอบกรณีธนาคารบางแห่งอาจละเมิดกฎหมายต่อต้านการผูกขาด กฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคทางการเงิน และกฎหมายให้สินเชื่ออย่างเป็นธรรม โดยเฉพาะการปฏิเสธให้บริการหรือปิดบัญชีที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ดิจิทัลและกลุ่มการเมืองฝ่ายขวา
คำสั่งนี้ยังสั่งให้สำนักงานบริหารธุรกิจขนาดย่อม (SBA) ทบทวนหลักเกณฑ์การรับประกันสินเชื่อ เพื่อป้องกันไม่ให้ธุรกิจถูกตัดสิทธิ์เพียงเพราะเชื่อมโยงกับเทคโนโลยีบล็อกเชนหรือความเชื่อทางการเมือง
แหล่งข่าวระบุว่า หากพบการกระทำผิด หน่วยงานกำกับดูแลจะต้องส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดเพื่อดำเนินคดีต่อไป ซึ่งสะท้อนว่าคำสั่งนี้อาจกลายเป็น “อาวุธทางกฎหมาย” ของทรัมป์ในการทลายอิทธิพลเชิงระบบของธนาคารที่ถูกมองว่าเลือกปฏิบัติทางการเงิน
คริปโต ถูกตัดระบบแบบเงียบ ๆ ขุดข้อกล่าวหา 'Choke Point 2.0' กลับมาอีกครั้ง
ฝั่งอุตสาหกรรมคริปโตและกลุ่มอนุรักษ์นิยมกล่าวหามานานว่ารัฐบาลไบเดนมีความพยายาม “ปิดประตูสถาบันการเงิน” ใส่พวกเขา โดยใช้หน่วยงานกำกับดูแลเป็นเครื่องมือกดดันธนาคารให้หลีกเลี่ยงการให้บริการกับบริษัทคริปโต ผ่านนโยบายที่คล้ายกับปฏิบัติการ “Operation Choke Point” ซึ่งเคยเกิดขึ้นในยุคโอบามา
พอล กรีเวล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายกฎหมายของ Coinbase เคยให้การต่อสภาคองเกรสเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ว่า FDIC ได้ตั้งคำถามและตรวจสอบธนาคารที่ทำธุรกรรมเกี่ยวข้องกับคริปโตจนหลายแห่งยอมถอยทัพจากการให้บริการดังกล่าว
นอกจากนี้ คดีฟ้องร้องตามพระราชบัญญัติเสรีภาพในการเข้าถึงข้อมูล (FOIA) ซึ่ง Coinbase ให้การสนับสนุน ยังแสดงให้เห็นว่า FDIC มีการร้องขอให้สถาบันการเงินบางแห่ง “ระงับกิจกรรมที่เกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัล” ซึ่งกรีเวลชี้ว่าหลักฐานเหล่านี้ “ไม่ใช่แค่ทฤษฎีสมคบคิด” แต่เป็นการจำกัดเสรีภาพทางการเงินอย่างเป็นรูปธรรม
นิค คาร์เตอร์ นักลงทุนร่วมทุนชื่อดังในวงการคริปโต ถึงขั้นบัญญัติศัพท์ “Operation Choke Point 2.0” ขึ้นในปี 2566 เพื่ออธิบายปรากฏการณ์ธนาคารถอดถอนความสัมพันธ์กับภาคสินทรัพย์ดิจิทัล โดยเปรียบเทียบกับยุทธศาสตร์เก่าของกระทรวงยุติธรรมที่เคยเล่นงานผู้ให้กู้เงินรายวันเมื่อสิบปีก่อน
อาญาสิทธิ์คำสั่งทรัมป์! กลายเป็นบรรทัดฐานใหม่ของการต่อต้านการลดความเสี่ยงทางการเมือง
แม้คำสั่งร่างนี้จะไม่ได้ระบุชื่อธนาคารใดโดยเฉพาะ แต่มีการวิพากษ์วิจารณ์บทบาทของสถาบันการเงินที่ถูกกล่าวหาว่ามีส่วนร่วมในการช่วยรัฐบาลกลางสืบสวนผู้เกี่ยวข้องกับเหตุจลาจลรัฐสภาเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2564
ขณะที่กลุ่มอนุรักษ์นิยมอ้างว่า ธนาคารบางแห่งใช้อำนาจ “ลดความเสี่ยง” (de-risking) เพื่อเลี่ยงให้บริการแก่กลุ่มการเมืองฝ่ายขวา โดยอ้างว่าเป็นความเสี่ยงทางกฎหมายหรือชื่อเสียง
อย่างไรก็ตาม ธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้ประกาศเมื่อเดือนมิถุนายนว่าจะหยุดใช้นโยบายประเมินความเสี่ยงต่อชื่อเสียงเป็นเกณฑ์หลักสำหรับการปิดบัญชี ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางใหม่ของ FDIC และสำนักงานควบคุมสกุลเงิน (OCC)
ทรัมป์เดิมพันทางการเมืองและเศรษฐกิจครั้งใหม่
ทั้งนี้หากคำสั่งฝ่ายบริหารฉบับนี้ถูกประกาศใช้อย่างเป็นทางการ จะไม่เพียงเปลี่ยนโฉมภูมิทัศน์การเงินสหรัฐฯ เท่านั้น แต่ยังอาจเป็นการเปิดฉากเผชิญหน้าระหว่างอำนาจรัฐกับสถาบันการเงินขนาดใหญ่ในประเด็น “สิทธิเสรีภาพทางการเงิน” และ “การแบ่งขั้วทางการเมือง” ในระบบเศรษฐกิจสมัยใหม่
อย่างไรก็ตาม เดิมพันครั้งนี้ไม่ใช่เพียงเรื่องของคริปโตหรือกลุ่มอนุรักษ์นิยม แต่คือสัญญาณว่าระบบธนาคารดั้งเดิมกำลังเผชิญแรงสั่นสะเทือนจากโลกเทคโนโลยี และอาจต้องเลือกข้างในศึกครั้งสำคัญที่ไม่มีใครยืนตรงกลางได้อีกต่อไป