ระดับความยากในการขุดบิทคอยน์พุ่งแตะจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 127.6 ล้านล้าน สะท้อนการแข่งขันเครือข่ายที่ทวีความเข้มข้น ขณะเดียวกันนักวิเคราะห์ชี้แนวโน้มลดลงเล็กน้อยในรอบการปรับต่อไปต้นเดือนสิงหาคม สัญญาณความสมดุลกลับมาอยู่ในมืออัลกอริธึม พร้อมชูบทบาทสำคัญของค่าความยากต่ออัตราส่วน stock-to-flow ที่กำหนดพฤติกรรมตลาด BTC อย่างมีนัยยะสำคัญ
ตลาดคริปโตจับตาระดับ “ค่าความยากในการขุด” หรือ Mining Difficulty ของบิทคอยน์ อย่างใกล้ชิด หลังสัปดาห์นี้ค่าดังกล่าวพุ่งขึ้นแตะระดับ 127.6 ล้านล้าน ซึ่งถือเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ สะท้อนถึงความเข้มข้นของพลังประมวลผลในเครือข่ายที่กำลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม มีการคาดการณ์ว่าในรอบการปรับครั้งถัดไป ซึ่งจะเกิดขึ้นในวันที่ 9 สิงหาคม ค่าความยากนี้อาจลดลงเล็กน้อยประมาณ 3% เหลือ 123.7 ล้านล้าน ขณะที่ข้อมูลจาก CoinWarz ระบุว่า เวลาการสร้างบล็อกเฉลี่ยในปัจจุบันอยู่ที่ 10 นาที 20 วินาที ซึ่งถือว่าเกินเป้าหมายที่โปรโตคอลบิทคอยน์กำหนดไว้เล็กน้อย
ย้อนกลับไปในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ข้อมูลจาก CryptoQuant เผยว่า ค่าความยากมีแนวโน้มลดลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะช่วงปลายเดือนจนถึงต้นกรกฎาคม ซึ่งตัวเลขเคยปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 116.9 ล้านล้าน ก่อนจะกลับมาเร่งขึ้นอีกครั้งในช่วงครึ่งหลังของเดือนกรกฎาคม ส่งสัญญาณการกลับเข้าสู่เทรนด์ขาขึ้นของเครือข่าย
ค่าความยากในการขุดและอัตราแฮช (Hash Rate) ซึ่งถือเป็นตัวแปรสำคัญที่มีผลต่อทั้ง “ความปลอดภัยของระบบ” และ “ผลกำไรของนักขุด” รวมถึงส่งผลกระทบโดยตรงต่ออัตราส่วน Stock-to-Flow (S2F) ที่ใช้วัดระดับความขาดแคลนของบิทคอยน์ในระบบเศรษฐกิจ
โดยอัตราส่วน Stock-to-Flow คือการเปรียบเทียบระหว่างอุปทานที่มีอยู่ในระบบ กับอุปทานใหม่ที่เกิดขึ้นในแต่ละปีจากการขุด ยิ่งอัตราส่วนนี้สูง ยิ่งหมายถึงความยืดหยุ่นของราคาต่ออุปทานใหม่มีมากขึ้น ซึ่งเป็นหนึ่งในคุณสมบัติหลักที่ปกป้องบิทคอยน์จากการถูก “ผลิตเกินความจำเป็น” และช่วยรักษาราคาในระยะยาว
ขณะที่ PlanB นักวิเคราะห์ผู้บุกเบิกโมเดล S2F ของบิทคอยน์เคยชี้ว่า “ทองคำมีอัตราส่วน S2F อยู่ที่ 60 ขณะที่บิทคอยน์อยู่ที่ 120” หมายความว่า BTC มีความขาดแคลนมากกว่าทองคำถึงสองเท่า และมีโอกาสน้อยกว่าที่จะเผชิญกับแรงเทขายจากอุปทานใหม่ที่ผลิตเกินควบคุม
ในระบบของบิทคอยน์การปรับค่าความยากถูกออกแบบมาเพื่อให้สอดคล้องกับพลังประมวลผลที่ใช้ขุดในเครือข่าย ซึ่งจะถูกประเมินและปรับทุกๆ 2,016 บล็อก หรือประมาณทุก 2 สัปดาห์ โดยมีเป้าหมายเพื่อให้เวลาการขุดเฉลี่ยอยู่ที่ 10 นาทีต่อบล็อกอย่างสม่ำเสมอ
หากพลังการขุด (Hashing Power) เพิ่มขึ้น เครือข่ายจะปรับค่าความยากขึ้นโดยอัตโนมัติ เพื่อลดโอกาสที่ BTC จะถูกผลิตเร็วเกินไป ขณะเดียวกัน หากพลังการขุดลดลง ระบบก็จะปรับค่าความยากลงเพื่อให้เครือข่ายเดินหน้าต่อได้อย่างมีเสถียรภาพ
โครงสร้างนี้เองที่ทำให้บิทคอยน์ มีลักษณะเป็น "สินทรัพย์ที่ควบคุมอุปทานด้วยตนเอง" และแตกต่างจากเงินตราแบบดั้งเดิมซึ่งอยู่ภายใต้นโยบายการเงินของรัฐหรือธนาคารกลาง
นอกจากนี้ อีกหนึ่งมิติที่ควรจับตามองคือ การที่กว่า 94% ของบิทคอยน์ทั้งหมดถูกขุดและหมุนเวียนอยู่ในระบบแล้ว จากอุปทานทั้งหมดที่มีเพียง 21 ล้านเหรียญ ทำให้การปรับค่าความยากในแต่ละครั้ง ส่งผลต่ออัตราเงินเฟ้อของบิทคอยน์อย่างมีนัยสำคัญ และส่งผลโดยตรงต่อแรงจูงใจของนักขุดและพฤติกรรมของนักลงทุนในตลาด
ในสถานการณ์ที่พลังการประมวลผลยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ควบคู่กับอัตราส่วน S2F ที่สูงเป็นพิเศษของบิทคอยน์จึงยังคงรักษาความได้เปรียบในฐานะสินทรัพย์หายาก ที่มีกลไกควบคุมอุปทานอย่างเข้มงวดไม่ต่างจากทองคำในโลกดิจิทัล