หน่วยงานกำกับเกาหลีใต้เดินหน้าตั้ง “คณะทำงานพิเศษ” หวังคุมเข้มบริการสินเชื่อคริปโต หลังพบแพลตฟอร์มดังแข่งกันปล่อยกู้แบบเลเวอเรจสูงลิ่ว สร้างความเสี่ยงพุ่ง ล่าสุดเล็งออกร่างแนวปฏิบัติใหม่ในเดือนหน้า เน้น “จำกัดการกู้-เปิดเผยความเสี่ยง-ยกระดับความโปร่งใส” ขณะที่ธนาคารกลางไม่รอช้า เปิดตัวทีม “สินทรัพย์เสมือน” รับมือคลื่น Stablecoin พร้อมร่วมกำกับคริปโตภาครัฐ
รัฐบาลเกาหลีใต้ขยับใหญ่ในเกมสินทรัพย์ดิจิทัล เตรียมกำหนดมาตรการควบคุม “บริการสินเชื่อคริปโต” อย่างเข้มงวด โดยเฉพาะรูปแบบที่ใช้ “เลเวอเรจ” สูง ซึ่งสร้างความเสี่ยงเชิงระบบต่อทั้งตลาดและนักลงทุนรายย่อย
ล่าสุด คณะกรรมการบริการทางการเงิน (FSC) และบริการกำกับดูแลทางการเงิน (FSS) ได้จัดตั้ง “คณะทำงานพิเศษ” เพื่อพัฒนากรอบการกำกับดูแลด้านการให้กู้ยืมสินทรัพย์ดิจิทัล โดยคาดว่าจะเผยแพร่ “แนวปฏิบัติ” ที่เข้มข้นและครอบคลุมในเดือนสิงหาคมนี้
แหล่งข่าวจาก Yonhap News Agency เปิดเผยว่า แนวทางดังกล่าวจะครอบคลุมข้อจำกัดด้านเลเวอเรจ คุณสมบัติของผู้ใช้งาน การเปิดเผยความเสี่ยง และความโปร่งใสของกิจกรรมการให้กู้ยืมคริปโต โดยถือเป็นการตอบสนองเชิงรุกของภาครัฐต่อบริการสินเชื่อใหม่ที่เริ่มเกิดขึ้นบนแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนรายใหญ่ เช่น Upbit และ Bithumb
ปัจจุบัน Bithumb อนุญาตให้ผู้ใช้งานกู้ยืมได้สูงสุดถึง 4 เท่าของหลักประกัน ขณะที่ Upbit เสนอวงเงินสินเชื่อที่สูงถึง 80% ของมูลค่าทรัพย์สิน ส่งผลให้เกิดความกังวลว่า หากตลาดเกิดความผันผวนอย่างรุนแรง จะนำไปสู่การล้างพอร์ตในวงกว้าง ซึ่งยิ่งเร่งความรุนแรงของวิกฤต
นอกจากนี้คณะทำงานดังกล่าวประกอบด้วยผู้แทนจาก FSC, FSS และ Digital Asset eXchange Alliance (DAXA) ซึ่งเป็นองค์กรกำกับดูแลตนเองที่ก่อตั้งขึ้นโดย 5 แพลตฟอร์มคริปโตหลักของเกาหลีใต้ ได้แก่ Upbit, Bithumb, Coinone, Korbit และ Gopax
ขณะที่แนวปฏิบัติใหม่นี้จะอิงตาม “กรอบกฎระเบียบสากล” และ “มาตรฐานตลาดทุนแบบดั้งเดิม” ควบคู่กับการคำนึงถึง “ความซับซ้อนเฉพาะตัวของตลาดคริปโต” ในประเทศ โดยหน่วยงานกำกับหวังว่า จะสามารถวางฐานให้กับกฎหมายสินทรัพย์ดิจิทัลฉบับใหม่ในอนาคต
ที่สำคัญ ทางการยังขอความร่วมมือจากตลาดแลกเปลี่ยนให้ “คัดกรองบริการที่มีความเสี่ยงสูง” โดยเฉพาะรูปแบบสินเชื่อที่ใช้เลเวอเรจมากเกินไป หรือบริการที่ยังอยู่ในพื้นที่สีเทาทางกฎหมาย เช่น การให้กู้ยืมแบบใช้เงินตรา (fiat-based lending)
อย่างไรก็ดีความเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นในเวลาเดียวกับที่ “ธนาคารกลางเกาหลีใต้” หรือ BOK ขยับขยายบทบาททีมวิจัยสกุลเงินดิจิทัลกลาง (CBDC) เดิม สู่การจัดตั้ง “Virtual Asset Team” หรือทีมเฉพาะกิจสินทรัพย์เสมือน เพื่อรองรับบทบาทด้านกำกับดูแลในระดับนโยบาย โดยทีมใหม่นี้จะรับผิดชอบงานด้าน Stablecoin และสินทรัพย์ดิจิทัลประเภทอื่นๆ โดยทำงานควบคู่กับภาครัฐระหว่างกระบวนการร่างกฎหมายคริปโต
ทั้งนี้แรงส่งจากตลาดไม่ใช่เรื่องเล็ก ล่าสุดข้อมูลจาก Google Finance ระบุว่า ในเดือนมิถุนายน หุ้นของธนาคารรายใหญ่ในเกาหลีใต้ เช่น Kakao Bank, Kookmin Bank และ Industrial Bank of Korea ต่างปรับตัวขึ้น 10-19% หลังมีข่าวจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าสำหรับ Stablecoin
ความพยายามทั้งหมดนี้สะท้อนว่า เกาหลีใต้กำลัง “ขีดเส้นใต้” ความจำเป็นในการควบคุมภาคสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างจริงจัง โดยเฉพาะในพื้นที่ “การให้กู้ยืมคริปโต” ซึ่งเป็นจุดเปราะบางที่อาจลุกลามเป็นวิกฤตได้ หากไร้การกำกับดูแลที่เข้มข้น