น.ส.ชญาวดี ชัยอนันต์ ผู้ช่วยผู้ว่าการสายองค์กรสัมพันธ์ และโฆษกธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า จากที่ประเมินภาพเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา พบว่าเป็นไปตามภาพที่ ธปท.ได้เคยประเมินไว้ ส่วนในช่วงที่เหลือของปีนี้ ขึ้นอยู่กับความเสี่ยงและความไม่แน่นอนที่จะค่อย ๆ เริ่มเห็นความชัดเจนเพิ่มขึ้น ซึ่งขณะนี้ยังตอบได้ยากว่าจะเป็นในทิศทางใด เพราะต้องขึ้นกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
ส่วนทั้งปีเศรษฐกิจไทยจะยังเติบโตได้ 2.3% หรือไม่นั้น เท่าที่ดูล่าสุด ทั้งกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และกระทรวงการคลัง ก็ปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยปีนี้ดีขึ้นจากเดิม แต่ทั้งนี้ คงต้องติดตามพัฒนาการในระยะข้างหน้าต่อไป เนื่องจากความไม่แน่นอนยังค่อนข้างสูง
"หลายเรื่องที่เรามองไว้เป็นความเสี่ยง ซึ่งหากความไม่แน่นอนลดลง หรือความเสี่ยงชัดเจนขึ้น เราก็ต้องมีการปรับอีกที หากจะให้มองเป็นทางการของ ธปท. คงจะออกมาในเดือน ต.ค. แต่ระหว่างนี้ ก็คงต้องประเมินเป็นการภายในไปก่อนอย่างต่อเนื่อง" โฆษก ธปท. ระบุ
*คาดไทยโดนภาษีสหรัฐฯ ใกล้เคียงอัตรา 20%
ทั้งนี้ การประเมินภาพเศรษฐกิจไทยที่ระดับ 2.3% ในปีนี้นั้น ธปท.มีข้อสมมติฐานที่ใช้เช่นเดียวกับสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) และสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ที่ไทยถูกเก็บภาษี Reciprocal Tariff จากสหรัฐฯ ในอัตรา 18% ซึ่งถือว่าเป็นระดับที่ใกล้เคียงกับประเทศในภูมิภาค ที่ได้อัตราภาษีในระดับ 20% บวก/ลบ โดยสุดท้ายแล้ว เชื่อว่าอัตราภาษีของสินค้าไทยที่จะออกมาในเร็ว ๆ นี้ จะไม่หนีไปจากระดับ 20% เท่าใดนัก
ส่วนถ้าหากสินค้าไทยถูกเก็บภาษีในอัตราสูงกว่าข้อสมมติฐาน 18% ที่ใช้ในการประเมินเศรษฐกิจ จะทำให้ต้องมีการทบทวนการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยในปีนี้ใหม่หรือไม่นั้น น.ส.ชญาวดี กล่าวว่า คงต้องขึ้นกับหลายปัจจัย เช่น อัตราภาษีระดับใด มาตรการของภาครัฐที่จะช่วยเหลือ รวมทั้งการปรับตัวของภาคธุรกิจเอง ตลอดจนต้องดูว่าประเทศคู่ค้าหลักอื่น ๆ จะได้รับอัตราภาษีเท่าใด ซึ่งต้องรอความชัดเจนจากข้อมูลเหล่านี้มาประกอบการพิจารณาด้วย
อย่างไรก็ดี ยอมรับว่า ทิศทางการส่งออกสินค้าของไทยไตรมาส 3 และไตรมาส 4 ปีนี้ ต่อเนื่องไปถึงทั้งปี 69 จะได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ที่เห็นได้ชัดเจนขึ้น ซึ่ง ธปท.ได้เคยประเมินไว้อยู่แล้วก่อนหน้านี้ ขณะเดียวกัน มีความเสี่ยงจากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชาเข้ามาเพิ่มเติมด้วย โดยต้องติดตามว่าสถานการณ์จะกินเวลายาวนานเพียงใด เพราะต้องยอมรับว่าผลกระทบไม่ใช่เพียงความรุนแรงในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชาเท่านั้น แต่กระทบกับกิจกรรมทางเศรษฐกิจในพื้นที่เองด้วย รวมทั้งผลกระทบด้านความเชื่อมั่น และผลกระทบทางสังคมตามมา
*โอกาสเศรษฐกิจไทยจะ "ซึมตัว" มีมากกว่า "ตกเหว"
สำหรับโอกาสหรือความเป็นไปได้ที่จะเห็นเศรษฐกิจไทยถดถอย หรือโตไม่ถึง 1% นั้น น.ส.ชญาวดี กล่าวว่า ขณะนี้เรามีประมาณ 3% อยู่ในกระเป๋าเป็นต้นทุนอยู่แล้ว (ไตรมาส 1 และ 2 โตใกล้เคียงกัน) ถ้าจะให้โตแค่ 1.5% แปลว่าอีก 2 ไตรมาส เศรษฐกิจต้องไม่เติบโตเลย ดังนั้น เชื่อว่าเศรษฐกิจไทยคงไม่ถึงกับร่วงลงแบบตกเหว แต่อาจจะเป็นภาพของการค่อย ๆ ซึมตัวลงมากกว่า
"ในแง่การปรับลดลงนั้น เราเห็นว่าจะชะลอลง และคงเป็นแบบค่อย ๆ ลง ซึมยาว ไม่ใช่แบบตกเหวแบบนั้น แต่ความเสี่ยงขาต่ำก็ยังมี และระหว่างนี้ถ้ามีปัจจัยอะไรเพิ่มเติม ก็ต้องมา revise กัน...ครึ่งปีหลัง ยอมรับว่าคงชะลอ แต่จากตัวเลขไตรมาส 2 ที่ออกมาค่อนข้างโอเค และไตรมาส 3 ความเสี่ยงมีมากขึ้น ทำให้เทียบไตรมาสต่อไตรมาสอาจจะแย่กว่าคาด ซึ่งเป็นความเสี่ยงที่เราจับตาอยู่ เราติดตามความเสี่ยงใกล้ชิด แต่ทิศทางคงไม่เปลี่ยน ดูแค่ความรุนแรงว่าจะลงมากน้อยขนาดไหน ก็ต้องมาประเมินใหม่" น.ส.ชญาวดี ระบุ
พร้อมชี้แจงว่า มุมมองดังกล่าวไม่ได้หมายความว่า ธปท.มองภาพเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีแรกเติบโตได้ดี เพราะเชื่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นผลจากความกังวลเรื่องภาษีสหรัฐ จึงทำให้ต้องเร่งส่งออก เร่งทำธุรกิจในช่วงนี้ ส่งผลทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจสูงขึ้น แต่ไม่ได้หมายความว่าเศรษฐกิจดีขึ้นแต่อย่างใด
สำหรับการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในรอบหน้าเดือนส.ค.68 นั้น โฆษก ธปท. กล่าวว่า กนง.คงจะต้องอัพเดทความเสี่ยงต่าง ๆ ในช่วงนี้ เพราะมีความไม่แน่นอนสูงมาก ดังนั้น การประชุมรอบเดือน ส.ค. กนง. คงต้องนำความเสี่ยงทั้งหมดมาดูความชัดเจน และความรุนแรง ตัวเลขทางเศรษฐกิจอื่น ๆ ตลอดจนปัจจัยที่เกี่ยวข้องว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้จะเป็นไปตามที่เคยคาดไว้หรือไม่
"ล่าสุดที่ประเมินไว้นั้น อัตราดอกเบี้ยในระดับปัจจุบัน ถือว่าสามารถดูแลความเสี่ยงได้ในระดับหนึ่ง ทั้งนี้ การที่จะมีเครื่องมือเข้าไปช่วยดูแลเศรษฐกิจนั้น คงไม่ใช่มาตรการดอกเบี้ยเพียงอย่างเดียว แต่ต้องมีมาตรการอื่น ๆ จากภาครัฐร่วมด้วย" น.ส.ชญาวดีระบุ