นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ธนาคารออมสินเร่งส่งมอบความช่วยเหลือเฉพาะหน้า แก่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา 4 จังหวัด ได้แก่ อุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ และบุรีรัมย์ รวมถึงผู้ประสบภัยน้ำท่วมครั้งใหญ่ในพื้นที่ภาคเหนือตอนบน โดยเฉพาะจังหวัดน่าน เชียงราย พะเยา แพร่ และลำปาง เบื้องต้น ธนาคารประกาศพักชำระเงินต้นแก่ลูกหนี้ที่ได้รับความเดือดร้อนจากทั้ง 2 เหตุการณ์ ซึ่งส่งผลให้ขาดรายได้ไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามปกติ โดยให้ชำระเพียงดอกเบี้ยบางส่วน เพื่อบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายในการผ่อนชำระหนี้ให้ลูกหนี้ และช่วยประคับประคองจนกว่าจะพ้นจากภาวะวิกฤต
มาตรการพักชำระเงินต้น-จ่ายดอกเบี้ยบางส่วน สำหรับลูกหนี้สินเชื่อทุกประเภทของธนาคาร ซึ่งธนาคารจะจัดแผนการชำระหนี้ที่เหมาะสมกับระดับผลกระทบของลูกหนี้แต่ละราย โดยให้พักชำระเงินต้นจนถึงงวดเดือนธันวาคม 2568 และชำระดอกเบี้ยบางส่วนตามแผนการชำระหนี้ที่กำหนด ลูกหนี้ที่ประสบภัยสามารถติดต่อขอเข้าร่วมมาตรการฯ ได้ที่ธนาคารออมสินสาขาที่ใช้บริการสินเชื่อ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
นอกจากนี้ ธนาคารได้ส่งมอบความช่วยเหลือที่จำเป็นเร่งด่วนลงในพื้นที่ของทั้ง 2 เหตุการณ์ โดยในส่วนของสถานการณ์น้ำท่วม ธนาคารได้มอบงบประมาณช่วยเหลือเร่งด่วน จำนวน 750,000 บาท เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้ประชาชนในพื้นที่ 5 จังหวัด ได้แก่ น่าน เชียงราย พะเยา แพร่ และลำปาง พร้อมมอบหมายให้ธนาคารออมสินในพื้นที่ ส่งมอบถุงออมสินห่วงใย สำหรับผู้ประสบภัยใช้ประทังชีวิตและบรรเทาความเดือดร้อนเฉพาะหน้า จำนวนกว่า 2,500 ชุด และจัดส่งเครื่องอุปโภคบริโภค วัตถุดิบในการประกอบอาหาร ตลอดจนสิ่งของเครื่องใช้ที่จำเป็น ไปยังโรงพยาบาลสนามในพื้นที่ที่ยังไม่สามารถเข้าถึงได้ ส่วนสถานการณ์ความไม่สงบของพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ได้จัดสรรงบประมาณ จำนวน 500,000 บาท สนับสนุนสิ่งของจำเป็นให้แก่ศูนย์พักพิงในจังหวัดอุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ และบุรีรัมย์
สำหรับผู้ที่ได้รับผลกระทบทำให้ต้องขาดสภาพคล่อง ธนาคารมอบ สินเชื่อฉุกเฉิน วงเงิน 20,000 บาท อัตราดอกเบี้ย 0% และ สินเชื่อเพื่อต่อเติมซ่อมแซมที่พักอาศัย วงเงินกู้สูงสุด 500,000 บาท
**ธอส.-เอ็กซิมแบงก์ออกมาตรการช้วยเหลือลูกค้า**
นายกมลภพ วีระพละ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า ได้ธอส.จัดทำ “มาตรการช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนให้กับลูกค้าของธนาคารจากเหตุการณ์ชายแดน” เป็นการเร่งด่วน จำนวน 3 มาตรการ ประกอบด้วย
(1)สำหรับลูกค้าปัจจุบันที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส หรือที่อยู่อาศัยเสียหายจากสถานการณ์ข้อพิพาทชายแดนได้รับอัตราดอกเบี้ยลดลงจากอัตราดอกเบี้ยปัจจุบันเหลือเพียง 0.01% ต่อปี นาน 5 ปีแรก และปีที่ 6 จนถึงตลอดอายุสัญญา กรณีลูกค้ารายย่อย เท่ากับ MRR-0.75% ต่อปี กรณีลูกค้าสวัสดิการ เท่ากับ MRR-1.00% ต่อปี
และกรณีซื้ออุปกรณ์ / ชำระหนี้ เท่ากับ MRR (อัตราดอกเบี้ย MRR ของ ธอส. ปัจจุบันอยู่ที่ 6.495% ต่อปี)
(2)สำหรับลูกค้าปัจจุบันที่ประสบปัญหาที่อยู่อาศัยเสียหายทั้งหลังจนไม่สามารถอยู่อาศัยได้ หรือทุพพลภาพถาวร หรือเสียชีวิต ได้รับอัตราดอกเบี้ยปัจจุบันเหลือ 0.01% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา
(3)สำหรับลูกค้าในพื้นที่ที่ต้องการกู้เพื่อปลูกสร้างอาคารใหม่ทดแทนอาคารเดิม ได้รับอัตราดอกเบี้ย 6 เดือนแรก 0% ต่อปี เดือนที่ 7 – 12 เท่ากับ 0.50% ต่อปี ปีที่ 2 – 3 เท่ากับ 2.50% ต่อปี ปีที่ 4 – 5 เท่ากับ 3.50% ต่อปี ปีที่ 6 – 10 เท่ากับ MRR-2.00% ต่อปี และปีที่ 11 จนถึงตลอดอายุสัญญา กรณีลูกค้ารายย่อย เท่ากับ MRR-0.75% ต่อปี กรณีลูกค้าสวัสดิการ เท่ากับ MRR-1.00% ต่อปี
สำหรับผู้ที่ต้องการขอลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และขอสินเชื่อตามมาตรการช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนให้กับ
ลูกค้าของธนาคารจากเหตุการณ์ชายแดน สามารถแสดงหลักฐานความเสียหายจากสถานการณ์ดังกล่าว เพื่อประกอบ โดยการยื่นขอสินเชื่อได้แล้วตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ณ สาขาธนาคารทั่วประเทศ
นายบัณฑิต สะเพียรชัย กรรมการ และรักษาการกรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยว่า EXIM BANK ออกมาตรการเร่งด่วนเพื่อบรรเทาผลกระทบในระยะสั้น ตั้งแต่การยืดหนี้ เติมทุน และผ่อนปรนเงื่อนไขวงเงินกู้เดิม ไปจนถึงมาตรการระยะกลาง กระตุ้นการส่งออกไปตลาดใหม่ เพื่อช่วยผู้ประกอบการไทยก้าวผ่านความยากลำบากและสามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ ดังนี้
มาตรการระยะสั้น มุ่งเน้นการช่วยเหลือตามความต้องการของกิจการ
• กรณีมีภาระคงค้างกับ EXIM BANK : ขยายระยะเวลาการชำระหนี้สูงสุด 365 วัน ปรับลดอัตราดอกเบี้ยระหว่างขยายระยะเวลาได้ 20% จากอัตราเดิม หรือเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขการชำระเงิน โดยการพักชำระหนี้เงินต้น 1 ปี หรือขยายระยะเวลาชำระหนี้สูงสุด 5 ปี
• กรณีต้องการเบิกกู้ใหม่เพื่อเพิ่มสภาพคล่องในการดำเนินกิจการ :
- ลูกค้าปัจจุบัน สามารถขอวงเงิน Top up เพิ่มได้อีกสูงสุด 30% ของวงเงินหมุนเวียนเดิมที่มีกับ EXIM BANK อัตราดอกเบี้ยพิเศษเริ่มต้นเพียง 2.99% ต่อปี (Prime Rate -3.16%)
- ลูกค้ารายใหม่ สามารถขอสินเชื่อ EXIM Export Booster เป็นวงเงินหมุนเวียนก่อนและหลังการส่งออก กู้ได้สูงสุด 200 ล้านบาทต่อราย อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้นเพียง 3.99% ต่อปี (Prime Rate -2.16%)
• กรณีต้องการรักษาการจ้างงาน : EXIM BANK ร่วมมือกับสำนักงานประกันสังคมให้เงินกู้ระยะยาวสินเชื่อเอ็กซิมเพื่อส่งเสริมการจ้างงานระยะที่ 3 อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้นเพียง 2.00% ต่อปี คงที่ 3 ปี
มาตรการระยะกลาง มุ่งสนับสนุนการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน ลดการพึ่งพิงตลาดเดิม
• เงินทุนหมุนเวียนเพื่อเปิดตลาดใหม่ : EXIM BANK ร่วมกับกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ สนับสนุนการออกงานแสดงสินค้า ผ่านสินเชื่อ EXIM-DITP Empower Financing อัตราดอกเบี้ย 6.15% ต่อปี (Prime Rate) และ EXIM Safe Trade Credit เงินทุนหมุนเวียนหลังการส่งออก พร้อมประกันการส่งออก อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 3.99% ต่อปี (Prime Rate -2.16%) ผู้ประกอบการจะได้รับชดเชยความเสียหายกรณีไม่ได้รับชำระเงินค่าสินค้าจากผู้ซื้อในต่างประเทศ
• เงินทุนระยะยาวเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต รองรับตลาดใหม่ (Transformation Loan) : ระยะเวลากู้ 3-10 ปี อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยสำหรับ SMEs 5.68% ต่อปี
ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ย Prime Rate (สำหรับลูกค้าทั่วไปและลูกค้า SMEs) ของ EXIM BANK ในปัจจุบันเท่ากับ 6.15% ต่อปี
**บสย. จัด 2 มาตรการด่วน**
นายสิทธิกร ดิเรกสุนทร กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) กล่าวว่าบสย. ได้ออกมาตรการเร่งด่วน ช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ลูกหนี้ที่ถูกจ่ายเคลม และลูกค้าของ บสย. ที่ได้รับผลกระทบให้สามารถผ่านพ้นช่วงวิกฤต และประคับประคองธุรกิจเดินหน้าต่อไปได้ แบ่งเป็น 2 กลุ่ม ดังนี้
1. มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้และลูกค้าเดิมของ บสย. ที่อยู่ในจังหวัดที่ได้รับผลกระทบ โดยผ่อนผันการชำระค่าธรรมเนียมค้ำประกัน และค่าจัดการค้ำประกันโดยพักชำระออกไปอีก 6 เดือน นับจากวันถึงกำหนดชำระค่าธรรมเนียม สำหรับ SMEs ลูกค้า บสย. ที่จะครบกำหนดชำระในวันที่ 31 สิงหาคม 2568 และพักชำระค่างวดเป็นระยะเวลา 3 เดือน สำหรับ SMEs ลูกหนี้ที่ถูกจ่ายเคลม ที่อยู่ในระหว่างผ่อนชำระตามแผนปรับโครงสร้างหนี้ และไม่ผิดนัดชำระหนี้ โดยสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมมาตรการ ผ่านช่องทาง LINE OA TCG First: @tcgfirst ถึง 31 สิงหาคม 2568
2. มาตรการเสริมสภาพคล่อง ภายใต้ โครงการค้ำประกันสินเชื่อ PGS11 “บสย. SMEs ยั่งยืน” 2 โครงการหลัก ได้แก่ โครงการค้ำประกันสินเชื่อ SMEs Power Trade & Biz วงเงินค้ำประกัน 3,000 ล้านบาท วงเงินค้ำประกันต่อราย 500,000 – 10 ล้านบาท เพื่อบรรเทาความเดือนร้อนสำหรับผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ชายแดนไทย – กัมพูชา และโครงการค้ำประกันสินเชื่อ SMEs Micro Biz วงเงินค้ำประกัน 2,000 ล้านบาท วงเงินค้ำประกันต่อราย 10,000 – 500,000 บาท ตอบโจทย์กลุ่มรายย่อย (Micro SMEs) ที่ต้องการเงินทุนหมุนเวียน แต่ขาดคนค้ำประกัน และขาดหลักทรัพย์ค้ำประกัน โดยทั้ง 2 โครงการมีจุดเด่น คือ ฟรี! ค่าธรรมเนียมค้ำประกัน 3 ปีแรก ปีต่อไปชำระต่ำเพียง 1.5% ต่อปี ค้ำประกันสูงสุด 7 ปี