ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) ประเมิน Frontload ส่งออกที่ดีในช่วงครึ่งปีแรก และผลจากนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เลื่อนเก็บภาษีตอบโต้อีก 1 เดือน ช่วยให้มุมมองส่งออกไทยปีนี้มีแนวโน้มขยายตัวได้บ้าง จากที่เคยมองว่าจะไม่เติบโต หลังข้อมูลมูลค่าส่งออกไทยยังขยายตัวได้ดีในไตรมาส 2 จากการเร่งผลิตเพื่อส่งออกก่อนได้รับผลกระทบจากศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal tariff) ของสหรัฐฯ และผลจากสหรัฐฯ เลื่อนกำหนดขึ้นภาษีตอบโต้นี้ออกไป 1 เดือนเป็นวันที่ 1 ส.ค.
อย่างไรก็ดี การส่งออกไทยในช่วงท้ายปี 68 และภาพรวมปี 69 ยังเสี่ยงหดตัวจากผลกระทบจากกำแพงภาษีของสหรัฐฯ ที่จะเริ่มชัดขึ้นหลังสหรัฐฯ เริ่มเก็บภาษี Reciprocal tariff และ Specific tariffs ครบตามที่ประกาศไว้ และปัจจัยหนุนหลักของการส่งออกที่มีในช่วงครึ่งแรกของปี 68 เริ่มหมด เช่น วัฏจักรสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ปัจจัย Frontload ก่อนสหรัฐฯ ขึ้นภาษีนำเข้า และปัจจัยทองพิเศษ
*เส้นตาย 1 ส.ค. ยังมีเพียง 6 ประเทศที่บรรลุข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ
หลังสหรัฐฯ ชะลอการเก็บ Reciprocal tariffs ออกไปนานกว่า 100 วัน หลายประเทศต่างทบทวนข้อเสนอหลายรูปแบบเพื่อเร่งบรรลุข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ ให้เร็วที่สุดก่อนเส้นตายวันที่ 1 ส.ค. อย่างไรก็ดี นับถึงขณะนี้มีเพียง 6 ประเทศเท่านั้นที่บรรลุข้อตกลงกับสหรัฐฯ ได้แก่
*ประเทศนอกภูมิภาคอาเซียน
1. สหราชอาณาจักร : สหรัฐฯ ตกลงคงอัตราภาษีตอบโต้ที่ 10% แต่ลด Product specific tariff สำหรับรถยนต์ 100,000 คันแรก เหลือ 10% จาก 25% ยกเว้นภาษีสำหรับผลิตภัณฑ์ในอุตสาหกรรมอากาศยานบางรายการ และกำหนดโควตาภาษีในอัตราต่ำสำหรับการส่งออกเหล็กและอะลูมิเนียมไปยังสหรัฐฯ ขณะที่สหราชอาณาจักรตกลงจะลด Non-tariff barriers ขยายการเปิดตลาดสำหรับสินค้าสหรัฐฯ เช่น เนื้อวัวและเอทานอล ปฏิบัติตามมาตรฐานความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทานของสหรัฐฯ และเข้าร่วมการเจรจาอย่างเป็นระบบในภาคส่วนสำคัญ เช่น ยานยนต์, อากาศยาน, เหล็ก และอะลูมิเนียมเพื่อให้เกิดความโปร่งใสและสอดคล้องกับกฎระเบียบที่สหรัฐฯ วางไว้
2. จีน : สหรัฐฯ ลดภาษีตอบโต้เหลือ 30% (เดิม 145%) เป็นการชั่วคราว แต่หากรวมภาษีในช่วงทรัมป์ 1.0 เดิม 25% รวมสินค้าจีนถูกสหรัฐฯ เก็บภาษีเพิ่มขึ้น 55% และสหรัฐฯ จัดเก็บภาษีสำหรับสินค้าขนาดเล็กจากจีน (De Minimis) 54% (เดิม 120%) รวมถึงผ่อนคลายมาตรการกีดกันที่เคยใช้ต่อจีน ในขณะที่จีนเก็บสหรัฐฯ 10% และผ่อนคลายการควบคุมส่งออกแม่เหล็กและแร่ธาตุหายากลงบ้าง
3. ญี่ปุ่น : สหรัฐฯ ตกลงจะลดภาษีตอบโต้เหลือ 15% (เดิม 25%) รวมทั้งอาจลด Product specific tariff รถยนต์ญี่ปุ่นลงเหลือ 15% ด้วย (ประกาศโดย ข้อมูลจากทางการญี่ปุ่น แต่ยังไม่ได้รับการยืนยันจากสหรัฐฯ) ขณะที่ญี่ปุ่นจะยอมให้สินค้าบางรายการของสหรัฐฯ เข้าถึงตลาดได้มากขึ้น (เช่น รถบรรทุกและข้าว) อีกทั้งญี่ปุ่นจะลงทุนในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นมูลค่า 5.5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ
*-ประเทศในภูมิภาคอาเซียน
4. เวียดนาม : สหรัฐฯ ลดภาษีตอบโต้เหลือ 20% (เดิม 46%) และ 40% สำหรับสินค้าประเทศอื่นที่ส่งออกผ่านเวียดนาม (ป้องกัน Transshipment โดยเฉพาะจากจีน) ขณะที่เวียดนามยอมเปิดตลาดให้สหรัฐฯ ทั้งหมดโดยลดภาษีเหลือ 0% และลด Non-tariff barriers (ประกาศจากทางสหรัฐฯ) ทั้งนี้เวียดนามจะยังคงเดินหน้าต่อรองเพื่อให้ขอลดภาษีตอบโต้ลงต่ำกว่า 20%
5. อินโดนีเซีย : สหรัฐฯ ลดภาษีตอบโต้เหลือ 19% (เดิม 32%) และกรณีสินค้าประเทศที่อัตราภาษีสูงกว่าส่งออกผ่านอินโดนีเซียจะเก็บ 19% + อัตราภาษีประเทศเจ้าของสินค้าเดิม ขณะที่อินโดนีเซียยอมเปิดตลาดให้สหรัฐฯ เกือบทั้งหมด (99% ไม่รวมเนื้อหมูและแอลกอฮอล์ ซึ่งขัดหลักศาสนาของประเทศ) โดยลดภาษีเหลือ 0% และลด Non-tariff barriers สำคัญหลายรายการ ยอมรับมาตรฐานการกำกับดูแลด้านสินค้าบางชนิดของสหรัฐฯ และปรับปรุงมาตรฐานแรงงาน
6. ฟิลิปปินส์ : สหรัฐฯ ลดภาษีตอบโต้เหลือ 19% (เดิม 20%) ขณะที่ฟิลิปปินส์เปิดตลาดให้สหรัฐฯ โดยลดภาษีเหลือ 0% รวมทั้งสหรัฐฯ และฟิลิปปินส์มีข้อตกลงจะขยายความร่วมมือทหารระหว่างกัน (ประกาศจากทางสหรัฐฯ)
*ความคืบหน้าการเจรจาของไทย และผลกระทบหากเปิดตลาดเสรี
การที่เวียดนาม อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ บรรลุข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ ได้ก่อน โดยยอมเปิดตลาดให้สินค้าสหรัฐฯ ทั้งหมด (Full access) แลกกับการขอลดอัตราภาษีตอบโต้ รวมถึงยอมให้สหรัฐฯ เก็บภาษี Transshipment (ภาษีนำเข้าสินค้าที่มีขั้นตอนการผลิตโดยใช้สินค้าจากห่วงโซ่อุปทานภายในประเทศต่ำ) ได้กลายเป็นบรรทัดฐานใหม่ในการเจรจาระหว่างสหรัฐฯ กับประเทศอาเซียนอื่น ๆ ซึ่งอาจกดดันให้ไทยจำเป็นต้องรีบเจรจากับสหรัฐฯ และยื่นข้อเสนอที่ดีขึ้นต่อสหรัฐฯ เพื่อต่อรองขอลดอัตราภาษีตอบโต้ให้ใกล้เคียงคู่แข่ง เพื่อช่วยไม่ให้สินค้าออกของไทยโดยรวมเสียความสามารถในการแข่งขันด้านราคาในตลาดสหรัฐฯ
ล่าสุด ผู้แทนทีมเจรจาของไทยสื่อสารว่า ไทยได้ยื่นข้อเสนอรอบใหม่ยอมเปิดตลาดเสรีให้สินค้าสหรัฐฯ มากขึ้นกว่าข้อเสนอรอบแรก (เพิ่มจากที่เคยเสนอสัดส่วน 64% เป็นราว 90% ของสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ โดยสัดส่วนที่เหลือคาดว่าจะเป็นสินค้าเกษตรสำคัญ ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบวงกว้างต่อผู้ผลิตและการจ้างงานภายในประเทศ) เพื่อขอลดกำแพงภาษีตอบโต้ที่สหรัฐฯ ประกาศจะเก็บไทยสูงถึง 36% ให้อยู่ในช่วง 18-20% ใกล้เคียงหรือต่ำกว่าคู่แข่ง
อย่างไรก็ตาม การที่คู่ค้าสหรัฐฯ (โดยเฉพาะอาเซียน) เปิดตลาดเสรีให้สหรัฐฯ มีแนวโน้มจะกระทบการส่งออกไทยสูง ผ่าน
1. ความสามารถในการแข่งขันของไทยในตลาดคู่ค้าสำคัญอย่างภูมิภาคอาเซียน : หากประเทศอาเซียนตกลงตามบรรทัดฐานใหม่ในการเจรจากับสหรัฐฯ อาจเห็นสินค้าสหรัฐฯ ไหลเข้าตลาดอาเซียนมากขึ้น ซ้ำเติมปัญหาสินค้าจีนล้นตลาดที่มีอยู่เดิม (Twin influx) ส่งผลกดดันให้การส่งออกในภูมิภาคอาเซียนลดลง ซึ่งจะกระทบภาคส่งออกไทยสูง เนื่องจากพึ่งพาตลาดอาเซียนสูงถึง 23.3% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมดในปี 67 รวมถึงจะกระทบต่อภาคเกษตรและภาคการผลิตในประเทศที่เกี่ยวข้อง เนื่องจากเริ่มสูญเสียความสามารถในการแข่งขันกับสินค้าจีนและสหรัฐฯ มากขึ้น
2. ผลกระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศกับจีน : หากข้อตกลง Transshipment ระหว่างประเทศอาเซียนกับสหรัฐฯ สร้างผลกระทบทางลบต่อเศรษฐกิจจีน อาจกดดันให้จีนใช้มาตรการภาษีตอบโต้ด้วย และกลายเป็นความเสี่ยงด้านลบต่อภาคส่งออกของอาเซียนและไทยได้เช่นกัน เนื่องจากจีนเป็นคู่ค้าหลักของไทยเช่นกัน (สัดส่วนการส่งออกไทยไปจีนราว 11.7% ของมูลค่าการส่งออกไทยทั้งหมด)
SCB EIC มองว่า หากไทยเปิดตลาดเสรีให้สหรัฐฯ อาจเจอปัญหาสินค้าสหรัฐฯ ไหลเข้ามากกว่าประเทศในอาเซียน เนื่องจาก
1. ปัจจุบันผู้บริโภคไทยมีความต้องการสินค้าสหรัฐฯ มากกว่าหลายประเทศในอาเซียน แม้ไทยจะปกป้องตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคภายในประเทศจากสหรัฐฯ ด้วยอัตราภาษีนำเข้าที่สูงกว่า โดยอัตราภาษีนำเข้าที่บังคับใช้จริง (Effective Applied Tariff Rate: EATR) ในหมวดสินค้าอุปโภคบริโภค (Consumer goods) ของสหรัฐฯ สูงเป็นอันดับที่ 4 ของอาเซียน แต่ปัจจุบันไทยนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคจากสหรัฐฯ มากเป็นอันดับที่ 2 ของอาเซียน แม้ไทยจะปกป้องตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคจากสหรัฐฯ สูงกว่า ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะไทยมีรายได้ต่อหัวสูงเป็นอันดับที่ 4 ของภูมิภาค
2. ปัจจุบันไทยปกป้องตลาดภายในประเทศสูงกว่าหลายประเทศในอาเซียน หากเปรียบเทียบ EATR ของการนำเข้ารวม รายหมวด และรายกลุ่มสินค้าที่ไทยและประเทศในอาเซียนเก็บสินค้าสหรัฐฯ พบว่า ไทยเก็บภาษีสหรัฐฯ สูงกว่าหลายประเทศในอาเซียน สะท้อนจาก
- การนำเข้ารวม ไทยเก็บ EATR สินค้าสหรัฐฯ (เฉลี่ยถ่วงน้ำหนัก) สูงอันดับ 2 ของอาเซียนอยู่ที่ 6.2% รองจากกัมพูชาที่ 12.9% (ค่าเฉลี่ยอาเซียนไม่รวมไทย อยู่ที่ 3.9%)
- การนำเข้ารายหมวด ไทยเก็บ EATR สินค้าสหรัฐฯ สูงกว่าค่าเฉลี่ยอาเซียนไม่รวมไทยมากถึง 3 ใน 4 หมวด โดยมีแค่สินค้าวัตถุดิบ (Raw materials) เท่านั้นที่ไทยเก็บ EATR สินค้าสหรัฐฯ น้อยกว่า
- การนำเข้ารายกลุ่มสินค้า ไทยเก็บ EATR สินค้าสหรัฐฯ สูงกว่าค่าเฉลี่ยอาเซียนไม่รวมไทยมากถึง 9 ใน 16 กลุ่มสินค้า โดยเฉพาะสินค้าเกษตร (กลุ่มสินค้าที่สหรัฐฯ ต้องการให้ไทยเปิดตลาด) เช่น ผักและเนื้อสัตว์จากสหรัฐฯ ที่ EATR ไทยสูงถึง 38% และ 44.3% และกำหนดอัตราภาษีสูงสุดถึง 218% ในบางรายการ เทียบกับ EATR ค่าเฉลี่ยอาเซียนไม่รวมไทยที่เก็บจากสหรัฐฯ ในกลุ่มผักและเนื้อสัตว์ที่ 3.1% และ 4.8% ตามลำดับ และกำหนดอัตราภาษีสูงสุดที่ 107%