นายไพโรจน์ เหลืองเถลิงพงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.ไอร่า เปิดเผยถึง สถานการณ์กำแพงภาษีของสหรัฐฯ ที่กำหนดจะเก็บ 36% กับไทยว่าจะส่งผลกระทบอย่างมากต่ออุตสาหกรรมการส่งออก โดยเฉพาะกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ อาหาร และสิ่งทอ ซึ่งจะทำให้ต้นทุนสูงขึ้นและอาจกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และเศรษฐกิจไทยโดยรวม
"การเก็บภาษีที่ 36% ของสหรัฐฯ เป็นมาตรการตอบโต้ทางการค้าภายใต้นโยบาย "Reciprocal Tariffs" ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ที่มีต่อไทย ซึ่งเป็นปัจจัยกดดันเศรษฐกิจไทยเป็นอย่างมาก โดยภาคการส่งออกที่ต้องแบกรับต้นทุนที่สูงขึ้น และสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน เทียบกับประเทศคู่แข่งอย่างเวียดนามที่มีอัตราภาษีเพียง 20% และต้นทุนแรงงานที่ต่ำกว่า ดังนั้นจึงต้องติดตามความสามารถของ "ทีมไทยแลนด์" จะรับมือในเรื่องนี้อย่างไร และจะทันกับวันบังคับใช้ 1 สิงหาคม 2568 หรือไม่"
ทั้งนี้ ท่ามกลางความไม่แน่นอนในการส่งออก นายไพโรจน์ ได้เสนอแนวทางเพิ่มเติมว่า ภาครัฐควรเร่งขยายตลาดใหม่ๆ ในภูมิภาคที่มีการเติบโตสูง เช่น เอเชียใต้ ตะวันออกกลาง และยุโรป พร้อมทั้งชูจุดเด่นของไทยในการเป็นศูนย์กลางอาเซียนที่มีโครงสร้างพื้นฐานแข็งแกร่ง โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมดาต้าเซ็นเตอร์ ที่กำลังได้รับความสนใจจากนักลงทุน โดยประเมินว่าเศรษฐกิจไทยในอนาคตขึ้นอยู่กับมาตรการกระตุ้นการลงทุนจากภาครัฐ โดยเฉพาะการท่องเที่ยว รวมถึงการช่วยกันปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางเศรษฐกิจในระยะยาว
อย่างไรก็ตาม บล.ไอร่า ได้ประเมินแนวโน้มการลงทุน โดยแนะนำกลยุทธ์การลงทุนในตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้ เป็นจังหวะสำคัญในการปรับพอร์ต โดยเน้น หุ้นกลุ่ม Defensive ที่มีฐานลูกค้าแข็งแกร่งและให้ผลตอบแทนในรูปเงินปันผลสูง เนื่องจากราคาหุ้นในปัจจุบันมีราคาที่ถูกมาก จึงแนะนำปรับพอร์ตและจึงควรเลือกลงทุนในตลาดหุ้นที่มีการเติบโตของ GDP ที่ดี ซึ่งจะเป็นโอกาสในการเข้าลงทุน