สร้างแรงสั่นสะเทือนวงการธนาคารโลกเมื่อ "ซิตี้กรุ๊ป" (Citigroup) หนึ่งในยักษ์ใหญ่การเงินระดับโลก ประกาศกร้าว! เตรียมเปิดตัว "Stablecoin" ของตัวเอง พร้อมรุกหนักในธุรกิจ "ดูแลสินทรัพย์คริปโต" (Crypto Custody) อย่างเต็มกำลัง ซึ่งนี่ไม่ใช่แค่การเดินตามเทรนด์ แต่คือ "สัญญาณการปฏิวัติ" ที่ธนาคารใหญ่ระดับโลกกำลังขยับเข้าสู่โลกคริปโตมากขึ้น
ซิตี้กรุ๊ป (Citigroup) หนึ่งในสถาบันการเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลก กำลังวางแผนที่จะเปิดตัว Stablecoin ของตัวเอง และขยายบริการดูแลสินทรัพย์คริปโต ซึ่งบ่งชี้ถึงความมุ่งมั่นที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นต่อโครงสร้างพื้นฐานและการชำระเงินที่ขับเคลื่อนด้วยบล็อกเชนโดยเจน เฟรเซอร์ (Jane Fraser) ซีอีโอของธนาคารระบุว่า ธนาคารกำลังสำรวจการออก Citi Stablecoin และกำลังเร่งดำเนินการพัฒนาระบบในพื้นที่ของเงินฝากรูปแบบโทเคน (tokenized deposit) โดยการเคลื่อนไหวนี้ มีเป้าหมายเพื่อปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานของธนาคารให้ทันสมัย เพิ่มประสิทธิภาพ ความโปร่งใส และความสามารถในการทำงานร่วมกันสำหรับลูกค้า
อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์ของ ซิตี้กรุ๊ป (Citigroup) มุ่งเน้นไปที่สี่ด้านหลัก ได้แก่
1.การจัดการทุนสำรองสำหรับ Stablecoin : เพื่อให้ Stablecoin มีความมั่นคงและเชื่อถือได้
2.การพัฒนาโซลูชั่นการดูแลสินทรัพย์คริปโต : เพื่อให้บริการเก็บรักษาคริปโตที่ปลอดภัยสำหรับลูกค้าสถาบัน
3.การเชื่อมต่อระหว่างเงิน Fiat และคริปโตอย่างราบรื่น : การแปลงเงินดั้งเดิมเป็นคริปโตและในทางกลับกันได้อย่างง่ายดาย (on/off ramps)
4.เงินฝากในรูปแบบโทเคน : การนำเงินฝากปกติมาแปลงให้อยู่ในรูปแบบของโทเคนบนบล็อกเชน
ทั้งนี้ความคิดริเริ่มเหล่านี้ถูกขับเคลื่อนด้วยความต้องการของลูกค้าที่ต้องการการชำระเงินแบบเรียลไทม์ตลอด 24 ชั่วโมงในภูมิทัศน์การชำระเงินดิจิทัลที่กำลังพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ธนาคารคาดการณ์ว่ามูลค่าตลาดของ Stablecoin ที่จะจะเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ จากประมาณ 260 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปัจจุบัน ไปสู่กว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ภายในปี พ.ศ. 2573 (ค.ศ. 2030) โดยมีมุมมองเชิงบวกที่ประเมินไว้สูงถึง 3.7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
อย่างไรก็ตามซิตี้กรุ๊ป (Citigroup) ไม่ได้อยู่คนเดียวในความพยายามครั้งนี้ เนื่องจากธนาคารใหญ่อื่นๆ เช่น เจพีมอร์แกน เชส (JPMorgan Chase), แบงก์ออฟอเมริกา (Bank of America) และ เวลส์ ฟาร์โก (Wells Fargo) ก็กำลังสำรวจความคิดริเริ่มในการออก Stablecoin ร่วมกันเช่นกัน ขณะเดียวกันในรายงานระบุถึงความพยายามเน้นย้ำว่า Stablecoin กำลังกลายเป็น "การอัปเกรดที่จำเป็น" สำหรับธนาคารทั่วโลก เนื่องจากมีแนวโน้มที่จะช่วยให้การชำระเงินเป็นไปอย่างรวดเร็วแบบเรียลไทม์และมีความโปร่งใสมากขึ้น แม้จะมีความระมัดระวังด้านกฎระเบียบอยู่ก็ตาม
การรุกคืบของ ซิตี้กรุ๊ป (Citigroup) สู่โลกของ Stablecoin และบริการดูแลคริปโต ไม่ใช่แค่การ "เกาะกระแส" แต่คือ "การยอมจำนน" ของสถาบันการเงินแบบดั้งเดิมต่อ "พลัง" ของเทคโนโลยีบล็อกเชน เมื่อซีอีโออย่าง เจน เฟรเซอร์ (Jane Fraser) ออกมาประกาศชัดเจนขนาดนี้ แสดงว่าธนาคารใหญ่ไม่สามารถ "มองข้าม" หรือ "ต่อต้าน" คลื่นดิจิทัลนี้ได้อีกต่อไปนี่คือ "สัญญาณการเข้ามากลืนกิน" ของการเงินแบบดั้งเดิม กำลังจะรวมเข้ากับการเงินดิจิทัลอย่างสมบูรณ์แบบ
และการที่ซิตี้กรุ๊ป (Citigroup) ตั้งเป้าหมายที่มูลค่าตลาด Stablecoin จะพุ่งไปถึง 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า แสดงให้เห็นว่าพวกเขาเห็น "โอกาสทอง" มหาศาล และพร้อมที่จะ "กระโจน" เข้าไปคว้ามันไว้ยิ่งไปกว่านั้น การที่ธนาคารยักษ์ใหญ่รายอื่นๆ เช่น เจพีมอร์แกน (JPMorgan) ก็กำลังซุ่มทำ Stablecoin ของตัวเองเช่นกัน ยิ่งตอกย้ำว่านี่คือ "เทรนด์ที่ย้อนกลับไม่ได้แล้ว" และ "การอัปเกรดที่จำเป็น" สำหรับ Stablecoin คือหัวใจสำคัญของเรื่องนี้ที่บ่งบอกว่าธนาคารเหล่านี้ตระหนักดีถึงข้อจำกัดของระบบเก่าที่ช้าและไม่โปร่งใส และเห็นว่า Stablecoin คือ "คำตอบ" ที่จะมาปฏิวัติการชำระเงินข้ามพรมแดนให้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
แน่นอนว่า "กำแพงกฎระเบียบ" ยังคงเป็นความท้าทาย แต่เมื่อ "ยักษ์ใหญ่" อย่าง ซิตี้กรุ๊ป (Citigroup) ลงมาเล่นเอง นั่นหมายความว่าพวกเขาพร้อมที่จะผลักดันให้เกิดความชัดเจนด้านกฎหมาย และนี่คือ "อนาคต" ที่การเงินดิจิทัลจะไม่ได้อยู่ในแค่กลุ่มคนเฉพาะอีกต่อไป แต่จะก้าวเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของระบบธนาคารกระแสหลักอย่างเต็มรูปแบบ