เอเซียพลัส เปิดโผ 9 หุ้น จาก 4 กลุ่มธุรกิจ เตรียมรับผลกระทบ หลังสหรัฐฯ เรียกเก็บภาษี 36% จับตากลุ่มเกษตรอาหาร ITC-TU โดนมากสุด เหตุมีรายได้มากกว่า 40% มาจากสหรัฐฯ โดยเฉพาะ ITC ขณะที่กลุ่มโรงไฟฟ้า คาดไม่ได้รับผลกระทบโดยตรง แต่อาจได้รับผลทางอ้อมเช่น BGRIM, GPCS, GULF เหตุขายไฟให้กลุ่มฯ ที่ส่งออกไปสหรัฐฯ ด้าน กลุ่มชิ้นส่วนฯ DELTA-KCE โดนไม่น้อย หลังมียอดส่งออกมากกว่า 20%
ฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส (ASPS) เปิดเผยว่า ได้รวบรวมว่ากลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆโดนผลกระทบทั้งในมุมส่งออก หรือ นำเข้ามาก น้อยเพียงใด หลังจากที่สหรัฐส่งจดหมายไปยังหลายประเทศถึงอัตราภาษีการค้าที่จะมีผลตั้งแต่ 1 ส.ค.68 ซึ่งประเทศไทยโดนเรียกเก็บ 36% เท่าเดิม โดยมีรายละเอียด ดังนี้
กลุ่มเครื่องดื่ม
1) COCOCO สัดส่วนรายได้จากสหรัฐฯ 24% จากการแข่งขันที่เพิ่มขึ้น เนื่องจาก ประเทศคู่แข่งในสินค้ากลุ่ม กะทิและน้ำมะพร้าว มีอัตราภาษีที่ต่ำกว่าไทยจากการประกาศล่าสุด เช่น เวียดนาม (20%) อินโดนีเซีย (32%) ฟิลิปปินส์ (17%) และ มาเลเซีย (25%) เป็นต้น อย่างไรก็ดี โรงงานใหม่ในฟิลิปปินส์ที่มีกำหนดสร้าง เสร็จต้นปีหน้า น่าจะช่วยลดผลกระทบดังกล่าว และอาจกลับมาเป็นผลบวกต่อบริษัทได้ ในระยะยาว จาก การย้ายการผลิตสินค้ากลุ่มกะทิเพื่อส่งออกไปสหรัฐฯ ไปยังโรงงานใหม่
2) SAPPE สัดส่วนรายได้จากสหรัฐฯ 5% โดยมองผลลบจากราคาสินค้านำเข้าในสหรัฐฯ ที่สูงขึ้นจะส่งผลต่อ ความต้องการสินค้า เนื่องจากสหรัฐฯ เป็นประเทศที่บริษัทตั้งเป้าเข้าไปขยายตลาดในอนาคต
กลุ่มวัสุดก่อสร้าง
1) SCC มีสัดส่วนรายได้ส่งออกสหรัฐ เท่ากับ 1% ของรายได้รวม ได้แก่สินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูง และสินค้ารักษ์ โลก เช่นปูนคาร์บอนต่ำ ในอนาคต SCC มีแผนนำเข้า ETHANE จากสหรัฐเพื่อใช้เป็น FEEDSTOCK ให้กับ โรงงาน LONG SON PETROCHEMICAL ในเวียดนามปีละ 1 ล้านตัน คิดเป็นมูลค่าประมาณ 1.2 หมื่น ล้านบาท/ปี
2) SCGP มีสัดส่วนรายได้ไปสหรัฐ คิดเป็น 3% ของรายได้ทั้งหมด สินค้าส่งออกหลักคือ POLYMER PACKAGING และบรรจุภัณฑ์อาหาร ซึ่งปัจจุบันมีภาษีนำเข้า 15-20% หากการขึ้นภาษีทำให้การนำเข้า ของสหรัฐลดลง SCGP ก็สามารถ ALLOCATE สินค้าไปขายที่ตลาดอื่นๆ ได้ เนื่องจากสินค้าส่วนใหญ่ของ SCGP เกี่ยวข้องกับสินค้าอุปโภคบริโภค โดยเฉพาะตลาดในกลุ่มอาเซียนที่ยังมี DOMESTIC CONSUMPTION เติบโตดี ส่วนสินค้าที่ SCGP นำเข้าจากสหรัฐคือเศษกระดาษ คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 2-3% ของเศษกระดาษที่ใช้ทั้งหมด หรือคิดเป็นมูลค่าประมาณ 700-1000 ล้านบาท/ปี โดยมีภาษีนำเข้า 0%
3) SCGD มีสัดส่วนรายได้ไปสหรัฐน้อยกว่า 1% ของรายได้รวม
กลุ่มโรงพยาบาล : ส่วนใหญ่จะนำเข้ายาจากทางโซนยุโรป ทั้งนี้ยาที่นำเข้าจากสหรัฐฯ นั้นจะคิดเป็นไม่เกิน 10% ของต้นทุน และซื้อผ่าน AGENCY อีกทีจึงไม่แน่ชัดว่าแต่ละ AGENCY โดนภาษีไปเท่าไหร่ เนื่องจากถูกรวมไว้แล้วในราคาขาย ส่วนเครื่องมืออุปกรณ์ทางการแพทย์ที่นำเข้าจาก US นั้นไม่ได้รับผลกระทบเนื่องจากได้รับการยกเว้นภาษีนำเข้าอยู่ แล้ว
กลุ่มโรงไฟฟ้า : คาดไม่ได้รับผลกระทบโดยตรง เนื่องจากไม่ได้มีสินค้าที่นำเข้า และส่งออกไปยังสหรัฐฯ แต่คาดได้รับผลกระทบทางอ้อม 2 กรณีดังนี้
1) กลุ่มโรงไฟฟ้าที่ขายไฟฟ้าให้ลูกค้าอุตสาหกรรม เช่น BGRIM, GPCS, GULF เป็นต้น คาดจะได้รับผลเชิง ลบจากความต้องการใช้ไฟฟ้าของกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมที่มีการส่งออกไปยังสหรัฐฯ ที่อาจปรับตัวลดลง
2) ผู้ประกอบการที่มีโครงการโรงไฟฟ้าในสหรัฐฯ เช่น BPP, BCPG, EGCO เป็นต้น อาจได้รับ SENTIMENT เชิงบวกในระยะยาว จากคาดการณ์ว่าความต้องการใช้ไฟฟ้าในสหรัฐฯจะเพิ่มขึ้น ตามการสนับสนุนการ ผลิตของภาคอุตสาหกรรม และการใช้ไฟฟ้าภายในสหรัฐฯที่เพิ่มขึ้น
กลุ่มเกษตรอาหาร
1) ITC มีสัดส่วนรายได้จากสหรัฐคิดเป็น 50-60% ของรายได้ และเดิมภาษีนำเข้าไทย-สหรัฐ สำหรับอาหาร สัตว์เลี้ยงอยู่ที่ 0% ย่อมได้รับผลกระทบจากการที่สหรัฐปรับขึ้นภาษีนำเข้าจากไทยเป็น 36% ขณะที่ ประเทศคู่แข่งในสินค้ากลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยงแบบเปียก ได้แก่ จีน คาดโดนภาษีสูงกว่าไทย ขณะที่เวียดนาม ภาษี 20% ต่ำกว่าไทย อาจทำให้ไทยสูญเสียความได้เปรียบทางการแข่งขันได้ แต่อย่างไรตามบริษัทเปิดเผย ว่าสินค้าของไทยมีคุณภาพดีกว่าเวียดนาม และเวียดนามต้องใช้เวลาอย่างน้อย 12-18 เดือนถึงจะสามารถ ผลิตสินค้าให้เทียบกับไทย โดยบริษัทจะใช้จุดแข็งในเรื่องการบริหารจัดการ, ความหลากหลายของ ผลิตภัณฑ์ และคุณภาพ เพื่อลดผลกระทบดังกล่าว
2) TU มีสัดส่วนรายได้จากสหรัฐราว 40% โดยสัดส่วนราว 20% มาจากฐานการผลิตไทย (ส่วนใหญ่เป็น ธุรกิจ AMBIENT – อาหารทะเลกระป๋อง) และอีก 20% จากแหล่งผลิตอื่น โดยบริษัทมีแนวทางบริหารจัดการ ความเสี่ยง ผ่านการใช้ประโยชน์จากเครือข่ายการผลิตที่มีอยู่ทั่วโลก เช่น ขยายการผลิตในโรงงานที่กานา และเซเซลล์ ซึ่งเป็นประเทศที่โดนภาษีตอบโต้ในอัตราต่ำสุด เพื่อส่งออกไปสหรัฐมากขึ้น หวังลดผลกระทบที่ อาจเกิดขึ้นจากประเด็น US TARIFF
กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์
1) DELTA มีการส่งออกไปสหรัฐในสัดส่วนราว 26% ของยอดขายทั้งหมดในปี 2567 และลูกค้าสหรัฐที่อยู่ใน จีน 11% ปัจจุบันเสียภายใต้ GMT ที่ 15%
2) KCE มีการส่งออกไปสหรัฐในสัดส่วนราว 24% ของยอดขายทั้งหมดในปี 2567 ปัจจุบันเสียภาษีประมาณ 11% เพราะการผลิตบางส่วนยังได้รับ BOI
อย่างไรก็ตามหากลูกค้าในสหรัฐที่นำเข้าสินค้าของทั้ง 2 บริษัท ต้องจ่ายภาษีนำเข้า 36% น่าจะได้รับผลกระทบต่อยอดขาย เพราะเป็นอัตราที่สูงกว่าที่ลูกค้าของทั้ง 2 บริษัทนี้เคยระบุว่าหากภาษีตอบโต้อยู่ระหว่าง 10% -15% ยังอยู่ ในเกณฑ์ที่รับได้