นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่าค่าเงินบาทเปิดเช้านี้(9ก.ค.68)ที่ระดับ 32.57 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 32.54 บาทต่อดอลลาร์ และมองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.50-32.70 บาท/ดอลลาร์ โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) เคลื่อนไหวอ่อนค่าลงเล็กน้อย ในลักษณะ Sideways Up (แกว่งตัวในกรอบ 32.50-32.64 บาทต่อดอลลาร์) กดดันโดยการทยอยแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ที่มาพร้อมกับการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หลังผู้เล่นในตลาดทยอยปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ท่ามกลางความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ
นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังพอได้แรงหนุนบ้าง ตามจังหวะการอ่อนค่าลงของบรรดาสกุลเงินหลัก โดยเฉพาะเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ที่อ่อนค่าเข้าใกล้โซน 147 เยนต่อดอลลาร์ ตามส่วนต่างบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ กับ ญี่ปุ่น ที่กว้างมากขึ้น ขณะเดียวกันบรรดาผู้เล่นในตลาดก็ประเมินว่า ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) อาจไม่สามารถขึ้นดอกเบี้ยต่อได้ในปีนี้ หากญี่ปุ่นเผชิญภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ ในอัตราที่สูงถึง 25% นอกจากนี้ เงินบาทยังเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าเพิ่มเติม จากการปรับตัวลดลงทดสอบโซนแนวรับของราคาทองคำ ทว่า เงินบาทยังคงไม่ได้อ่อนค่าไปมากนัก ท่ามกลางแรงขายเงินดอลลาร์ และการปรับสถานะถือครองของบรรดาผู้เล่นในตลาดบางส่วน
สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามพัฒนาการของการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับบรรดาประเทศคู่ค้า หลังทางการสหรัฐฯ ได้ทยอยประกาศอัตราภาษีนำเข้าใหม่ ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 สิงหาคม ทำให้บรรดาประเทศคู่ค้าอาจเร่งเจรจาการค้า เพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญอัตราภาษีนำเข้าที่สูงดังกล่าว นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของบรรดาธนาคารกลางหลัก โดยเฉพาะธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) และธนาคารกลางยุโรป (ECB) ผ่านถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ของธนาคารกลางหลักดังกล่าว
ส่วนทางฝั่งเอเชีย ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI และดัชนีราคาผู้ผลิต PPI ของจีน ในเดือนมิถุนายน ซึ่งจะช่วยสะท้อนถึงแนวโน้มเศรษฐกิจจีนได้ ในส่วนของนโยบายการเงินนั้น บรรดานักวิเคราะห์ต่างประเมินว่า ธนาคารกลางมาเลเซีย (BNM) อาจเดินหน้าลดดอกเบี้ย 25bps สู่ระดับ 2.75% เพื่อช่วยประคองเศรษฐกิจ ท่ามกลางแรงกดดันจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ขณะที่ธนาคารกลางนิวซีแลนด์ (RBNZ) อาจเลือกที่จะคงดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 3.25% ไปก่อน
สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เราประเมินว่า เงินบาทยังมีความเสี่ยงเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าได้ในช่วงนี้ ท่ามกลางความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นปัจจัยที่ช่วยหนุนเงินดอลลาร์ ขณะเดียวกันก็กดดันให้ราคาทองคำยังคงแกว่งตัวแถวโซนแนวรับ ทำให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนอาจเลือกที่จะทยอยเข้าซื้อทองคำ (Buy on Dip) ท่ามกลางความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ดังกล่าว
อย่างไรก็ดี เรามองว่า การอ่อนค่าของเงินบาทอาจมีลักษณะค่อยเป็นค่อยไป โดยเฉพาะในสัปดาห์นี้ ที่อาจไม่มีรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญซึ่งอาจส่งผลให้เงินบาทเคลื่อนไหวผันผวนสูง (ทั้งในฝั่งอ่อนค่าและแข็งค่า) อีกทั้ง มุมมองของผู้เล่นในตลาดล่าสุด ก็เริ่มทยอยปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ย และสอดคล้องกับมุมมองของเฟดใน Dot Plot ล่าสุด ทำให้การแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องของเงินดอลลาร์ก็อาจเป็นไปอย่างจำกัด เว้นแต่ว่า รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในระยะข้างหน้าจะออกมาแข็งแกร่ง โดยเฉพาะข้อมูลตลาดแรงงาน ทำให้ผู้เล่นในตลาดเริ่มมองว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยไม่ถึง 2 ครั้ง อย่าง แน่นอนในปีนี้ ซึ่งเราประเมินว่า โอกาสเกิดภาพดังกล่าวยังอยู่ในระดับต่ำ
นอกจากนี้ เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดบางส่วนอาจรอทยอยเงินดอลลาร์ ในจังหวะที่เงินบาทอ่อนค่าลง หรือ ทยอยเพิ่มสัดส่วนการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (Hedging Ratio) ซึ่งเป็นสิ่งที่เราเห็นในหลายสกุลเงิน โดยเฉพาะสกุลเงินฝั่งเอเชีย ทำให้การอ่อนค่าของเงินบาทอาจติดอยู่แถวโซนแนวต้าน 32.65-32.75 บาทต่อดอลลาร์ ในระยะสั้น ทั้งนี้ เราจะมั่นใจมากขึ้น ว่าเงินบาทได้กลับเข้าสู่แนวโน้มทยอยอ่อนค่าลงอีกครั้ง หากเงินบาทสามารถอ่อนค่าทะลุโซน 32.70-32.80 บาทต่อดอลลาร์ ได้อย่างชัดเจน ตามการประเมินด้วยกลยุทธ์ Trend Following