"โกลด์แมน แซคส์" วาณิชธนกิจยักษ์ใหญ่ ออกโรงกลับลำ คาดการณ์แนวโน้ม "อัตราผลตอบแทนพันธบัตรกระทรวงการคลังสหรัฐฯ" จะ "ดิ่งลง" แบบหน้ามือเป็นหลังมือ พร้อมฟันธงว่า "ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด)" จะ "หั่นดอกเบี้ย" เร็วกว่าที่ใครๆ คาดการณ์ไว้ สัญญาณอันตรายชี้ "วิกฤตเศรษฐกิจ" ที่ซ่อนอยู่ และ "อนาคตของดอกเบี้ย" ที่อาจส่งผลสะเทือนถึงตลาดทั่วโลก
นักกลยุทธ์ตลาดจากสถาบันการเงินยักษ์ใหญ่อย่าง โกลด์แมน แซคส์ (Goldman Sachs) ได้ลดการคาดการณ์อัตราผลตอบแทนพันธบัตรกระทรวงการคลังสหรัฐฯ โดยมีพื้นฐานมาจากแนวโน้มที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Federal Reserve - Fed) มีแนวโน้มที่จะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเร็วกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้
ในรายงานที่ Bloomberg ได้รับการเปิดเผย นักวิเคราะห์ของ Goldman Sachs รวมถึง George Cole ระบุว่าพวกเขากำลังปรับลดเป้าหมายอัตราผลตอบแทนสำหรับพันธบัตรสองปีและสิบปี ณ สิ้นปี 2025 โดยลดลงจากเดิมที่เคยคาดการณ์ไว้ที่ 3.85% และ 4.50% มาเป็น 3.45% และ 4.20% ตามลำดับ
ยิ่งไปกว่านั้น นักเศรษฐศาสตร์ของ Goldman Sachs ซึ่งเดิมเชื่อว่า Fed จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพียงครั้งเดียวในช่วงปลายปีนี้ ขณะนี้กลับคาดการณ์ว่าจะมีการปรับลดดอกเบี้ยถึงสามครั้งในเดือนกันยายน ตุลาคม และธันวาคม นี่คือการเปลี่ยนแปลงมุมมองที่สำคัญอย่างมาก ซึ่งบ่งชี้ถึงความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้นว่า Fed จะต้องผ่อนคลายนโยบายการเงินในไม่ช้า
แม้ว่าตัวเลขตลาดแรงงานที่แข็งแกร่งเมื่อเร็วๆ นี้จะท้าทายการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ แต่ทีมของ Goldman Sachs ก็ยังคงยืนยันในการประเมินของพวกเขา โดยชี้ให้เห็นว่าข้อมูลที่แข็งแกร่งนั้นบิดเบือนไปจากการจ้างงานของภาครัฐที่สูงเกินไป และการลดลงของอัตราการมีส่วนร่วมในกำลังแรงงาน
นักวิเคราะห์ของ Goldman Sachs กล่าวว่า "เส้นทางที่เป็นไปในทางที่ดีของการลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น สามารถลดแหล่งที่มาของความเสี่ยงทางการคลังเพิ่มเติมและปรับปรุงความน่าสนใจทางเศรษฐกิจ (ของการถือครองพันธบัตรรัฐบาล) เราเห็นขอบเขตสำหรับการปรับลดที่ลึกขึ้นเพื่อสนับสนุนอัตราผลตอบแทนที่ต่ำกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้"
ขณะที่หนังสือพิมพ์ Financial Times รายงานว่า กองทุนพันธบัตรระยะยาวที่เน้นการลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐและเอกชนได้ถูก "เทขาย" ออกไปถึง 1.1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ภายในเวลาเพียงสามเดือน การเทขายในไตรมาสที่ 2 ปี 2568 นี้ ถือเป็นการสิ้นสุดช่วงสามปีของการไหลเข้าสุทธิของเงินทุนเข้าสู่กองทุนพันธบัตรระยะยาวของสหรัฐฯ โดยการเทขายครั้งก่อนหน้าเกิดขึ้นในไตรมาสที่ 2 ปี 2567
Robert Tipp หัวหน้านักกลยุทธ์ตราสารหนี้ของ PGIM กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงนี้แสดงให้เห็นว่านักลงทุนกำลังวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะเงินเฟ้อที่สูงขึ้นและหนี้ของรัฐบาลที่เพิ่มขึ้น "มันเป็นสภาพแวดล้อมที่ผันผวน โดยมีเงินเฟ้อยังคงสูงกว่าเป้าหมายและมีการออกพันธบัตรของรัฐบาลจำนวนมากเท่าที่มองเห็นได้ นี่กำลังขับเคลื่อนความวิตกกังวลเกี่ยวกับอัตราผลตอบแทนระยะยาวของพันธบัตร และความไม่สบายใจโดยรวม"
ทั้งนี้การที่ "โกลด์แมน แซคส์" ยักษ์ใหญ่แห่งวอลล์สตรีท พลิกมุมมองต่อตลาดพันธบัตรและฟันธงว่า "เฟดจะหั่นดอกเบี้ยเร็วกว่ากำหนด" นั้น ไม่ใช่แค่การปรับตัวเลขคาดการณ์ธรรมดา แต่มันคือ "สัญญาณเตือนภัย" ที่บอกว่า "เศรษฐกิจโลก" อาจกำลังเข้าสู่ช่วงเวลาที่ซับซ้อนและท้าทายกว่าที่คิด การที่สถาบันการเงินระดับโลกมองเห็นถึงความจำเป็นที่ Fed จะต้องลดดอกเบี้ยถึง 3 ครั้งภายในสิ้นปี สะท้อนให้เห็นว่าพวกเขาประเมินว่า "แรงกดดันทางเศรษฐกิจ" กำลังก่อตัวขึ้นอย่างรุนแรง ไม่ว่าจะเป็นจากข้อมูลแรงงานที่ "บิดเบือน" หรือ "ความวิตกเรื่องเงินเฟ้อและหนี้ภาครัฐ" ที่นักลงทุนเริ่มแสดงออกผ่านการเทขายพันธบัตร
การที่นักวิเคราะห์ของ Goldman Sachs ยังคงยืนกรานในการคาดการณ์ แม้จะมีตัวเลขแรงงานที่ดูแข็งแกร่งในช่วงแรก ชี้ให้เห็นถึง "การมองทะลุภาพลวง" ข้อมูลพื้นฐานไปสู่ "ความจริง" ที่ซ่อนอยู่นั่นคือการจ้างงานภาครัฐที่สูงและอัตราการมีส่วนร่วมในกำลังแรงงานที่ลดลง กำลังบิดเบือนภาพรวมเศรษฐกิจที่แท้จริง
อย่างไรก็ตามนี่คือเกมที่ "ดอกเบี้ย" คือกุญแจสำคัญ การลดดอกเบี้ยเร็วขึ้น อาจเป็น "ดาบสองคม" ที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น แต่ก็อาจส่งสัญญาณถึงภาวะเศรษฐกิจที่อ่อนแอลงอย่างรวดเร็ว และ "ความตื่นตระหนก" ของนักลงทุนที่มองเห็น "ความเสี่ยง" ในสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ การเทขายพันธบัตรระยะยาวกว่า 1.1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในเวลาเพียงสามเดือน คือ "เสียงกรีดร้อง" ของตลาดที่กำลังบอกว่า "ความกังวล" กำลังกัดกินความเชื่อมั่น
อย่างไรก็ดีคำเตือนจาก "โกลด์แมน แซคส์" ครั้งนี้ จึงไม่ใช่แค่ "มุมมองเศรษฐกิจ" แต่มันคือ "คำทำนาย" ที่อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในทิศทางของตลาดการเงินทั่วโลก เพราะ "ยุคแห่งดอกเบี้ยต่ำ" ที่มาพร้อมกับ "ความไม่แน่นอน" อาจกลับมาเร็วกว่าที่คาดคิด