"OpenAI" ยักษ์ใหญ่ AI ออกโรงปฏิเสธกลางอากาศ ไม่รู้ไม่เห็นกับการที่ "Robinhood" โบรกเกอร์ดัง เสนอขาย "โทเคน OpenAI" ให้ชาวยุโรป หวังสัมผัสหุ้นบริษัท AI มูลค่ามหาศาล ทำเจ้าพ่อเทคโน "อีลอน มัสก์" ผู้ร่วมก่อตั้ง OpenAI หัวร้อนร่วมวงซัดแหลก "นี่มันหุ้นปลอม" ตอกย้ำความโลภเห็นแก่ได้ในโลกที่เทคโนโลยีการเงิน ที่พยายาม "ข้ามเส้น" จนไร้ขอบเขต จุดพลุสัญญาณเตือนนักลงทุนว่าการ "โทเคนไนซ์" หุ้นบริษัทเอกชน อาจไม่ได้สวยหรูอย่างที่คิด อาจเป็นเพียงหลุมพรางขุดล่อคนโลภที่หวังรวยในชั่วข้ามคืน
"OpenAI" บริษัทปัญญาประดิษฐ์ระดับโลก ได้ออกมาประกาศปฏิเสธอย่างชัดเจนว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง หรือให้การอนุญาตในการส่งเสริมการขาย "โทเคน OpenAI" ของแพลตฟอร์มซื้อขายหลักทรัพย์ "Robinhood" ซึ่งเสนอให้ผู้ใช้งานได้สัมผัสกับ 'หุ้น' ของบริษัทผ่านสินทรัพย์โทเคน
โดยบริษัท OpenAI ยักษ์ใหญ่ด้านปัญญาประดิษฐ์ได้ออกแถลงการณ์อย่างแข็งกร้าวบนแพลตฟอร์ม X (ทวิตเตอร์) เมื่อวันพุธที่ผ่านมา ปฏิเสธการมีส่วนร่วมใดๆ ในความคิดริเริ่มดังกล่าว ซึ่งแพลตฟอร์มเทรดดิ้งชื่อดังได้เปิดตัวไปเมื่อต้นสัปดาห์
โดยเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา Robinhood ได้ประกาศแจก "โทเคน OpenAI" และ "โทเคน SpaceX" มูลค่า 5 ยูโร ให้กับผู้ใช้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมในสหภาพยุโรป ที่ลงทะเบียนเพื่อซื้อขาย "Stock Tokens" ที่เพิ่งเปิดตัวภายในวันที่ 7 กรกฎาคม ซึ่งการเคลื่อนไหวนี้เป็นส่วนหนึ่งของการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ในเมืองคานส์ ประเทศฝรั่งเศส โดยมุ่งเน้นไปที่ Tokenized Equities (หุ้นที่ถูกแปลงเป็นโทเคน) และโครงสร้างพื้นฐานบล็อกเชน ซึ่งข่าวนี้ทำให้หุ้น Robinhood พุ่งทะยานทำสถิติสูงสุดใหม่ทะลุ 100 ดอลลาร์สหรัฐฯ
อีลอน มัสก์ สับแหลก "หุ้นของคุณมันปลอม”
เพื่อตอบโต้เรื่องนี้ "อีลอน มัสก์" ผู้ร่วมก่อตั้ง OpenAI และผู้บริหาร SpaceX ได้ขยายความคำปฏิเสธของ OpenAI ด้วยโพสต์ที่ตรงไปตรงมาของเขาผ่าน X ว่า “’หุ้น’ ของคุณมันปลอม” โดยมุมมองของเขาสะท้อนถึงคำวิพากษ์วิจารณ์ที่เขามีมานานเกี่ยวกับการเปลี่ยนผ่านของ OpenAI จากองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรไปสู่รูปแบบที่แสวงหาผลกำไร อย่างไรก็ตาม ความคิดเห็นของเขามุ่งเน้นไปที่โครงสร้างภายในของ OpenAI และเขาไม่ได้กล่าวถึงโทเคน SpaceX ที่เป็นส่วนหนึ่งของการโปรโมตด้วย
ในส่วนของ Robinhood นั้น "วลาด เตเนฟ" (Vlad Tenev) ซีอีโอของบริษัท ได้ออกมาปกป้องข้อเสนอ โดยยอมรับว่าโทเคนเหล่านี้ไม่ใช่ 'หุ้น' ทางเทคนิค แต่แย้งว่ามันเปิดโอกาสที่หาได้ยากสำหรับนักลงทุนรายย่อยในการเข้าถึงบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีที่ยังเป็นบริษัทส่วนตัว “การแจกของรางวัลของเราเป็นการหว่านเมล็ดพันธุ์สำหรับสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่ามาก” เขากล่าว พร้อมเสริมว่าบริษัทได้รับฟังจากบริษัทเอกชนจำนวนมากที่สนใจเข้าร่วมสิ่งที่เขาเรียกว่า "การปฏิวัติการโทเคนไนซ์"
ตามข้อมูลของ Robinhood สินทรัพย์เหล่านี้ออกผ่าน Special Purpose Vehicle (SPV) จากนั้นจึงเสนอผ่านแพลตฟอร์มคริปโตฯ ของ Robinhood นอกจากนี้ บริษัทยังใช้กฎที่ผ่อนปรนของสหภาพยุโรปเกี่ยวกับการเข้าร่วมของนักลงทุนเพื่อเปิดตัวผลิตภัณฑ์ดังกล่าว Robinhood ยังระบุว่าโทเคนเหล่านี้ถูกออกแบบมาเพื่อเสนอการเข้าถึงทางอ้อมให้กับบริษัทเอกชน โดยมีเป้าหมายเพื่อขยายการเข้าถึงสำหรับนักลงทุนรายย่อย ซึ่งโดยปกติจะถูกกีดกันจากตลาด Venture Capital แบบดั้งเดิม
ผู้สนับสนุนในโลกออนไลน์ต่างเห็นด้วยกับมุมมองนี้โดยผู้ใช้รายหนึ่งโพสต์ว่าผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์กำลัง “มองไม่เห็นภาพรวม” โดยระบุว่าการเข้าถึงมีความสำคัญมากกว่าความแม่นยำทางกฎหมายสำหรับนักลงทุนทั่วไป และเตเนฟตอบกลับด้วยคำเดียวว่า “ถูกต้องที่สุด”
อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นถึงความตึงเครียดที่ยังคงมีอยู่ในพื้นที่คริปโตฯ ด้านหนึ่งคือแพลตฟอร์มที่กระตือรือร้นที่จะทำให้การเข้าถึงตลาดการเงินเป็นไปในระบอบประชาธิปไตยมากขึ้น อีกด้านหนึ่งคือบริษัทที่มีแบรนด์และหุ้นถูกนำเสนอในรูปแบบ On-Chain โดยไม่มีการเป็นหุ้นส่วนอย่างเป็นทางการ นอกจากนี้ อุปสรรคด้านกฎระเบียบยังขัดขวางไม่ให้ผู้ใช้ในสหรัฐฯ เข้าถึงโทเคนเหล่านี้ได้
เมื่อ "โทเคนไนซ์" ก้าวข้ามเส้น "กฎหมาย" และ "ความถูกต้อง"
กรณี "โทเคน Robinhood" และการปฏิเสธอย่างชัดเจนจาก OpenAI รวมถึงการซัดแหลกของอีลอน มัสก์ สะท้อนให้เห็นถึง "ความเสี่ยง" และ "ช่องโหว่" ที่เกิดขึ้น เมื่อนวัตกรรมทางการเงินพยายามก้าวข้ามขีดจำกัดทางกฎหมาย การที่แพลตฟอร์มนำ "มูลค่าแบรนด์" ของบริษัทเอกชนที่ไม่เกี่ยวข้อง มาแปลงเป็นสินทรัพย์โทเคนเพื่อดึงดูดนักลงทุน ถือเป็นการเล่นกับ "ความคลุมเครือทางกฎหมาย" และ "ความเข้าใจของสาธารณะ" ที่อาจนำไปสู่ความสับสนและปัญหาใหญ่ได้ในอนาคต
นี่คือบทเรียนสำคัญที่เตือนนักลงทุนว่า "การเข้าถึง" ตลาดที่ยากจะเข้าถึง อาจมาพร้อมกับ "ความเสี่ยง" ที่สูงกว่า และ "การรับรอง" จากผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียโดยตรงยังคงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ซึ่งการเร่งรีบในการสร้างนวัตกรรมโดยไม่คำนึงถึงกรอบกฎหมายที่ชัดเจน อาจนำไปสู่ "ฟองสบู่" หรือ "หายนะ" ที่ทำให้ผู้ลงทุนรายย่อยต้องรับเคราะห์ในท้ายที่สุด และคำถามคือ หน่วยงานกำกับดูแลจะเข้ามารับมือกับ "การโทเคนไนซ์" ที่พยายามข้ามเส้นเหล่านี้ได้อย่างไร เพื่อปกป้องนักลงทุนและรักษากฎเกณฑ์ของตลาดการเงินให้โปร่งใสและยุติธรรม