นายพิริยพล คงวาณิช นักกลยุทธ์ ฝ่ายวิเคราะห์การลงทุนเพื่อบริหารความมั่งคั่ง บล.บัวหลวง กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยกำลังเข้าสู่ช่วงพีคของความผันผวนในระยะ 1-3 เดือนข้างหน้า จากผลกระทบมาตรการภาษีของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ และการเมืองในประเทศที่ยังมีความไม่แน่นอน โดยประเมินเป้าหมาย SET ปี 68 1,280 จุด กำไรต่อหุ้น (EPS) 82 บาท GDP ไทยเติบโต 1.4% จากสมมติฐานไทยถูกเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐในอัตราไม่เกิน 20% ทั้งนี้ ยังไม่รวมปัจจัยการเมืองในประเทศ
จากการติดตามการเจรจาการค้าระหว่างไทยและสหรัฐ หากไทยถูกเรียกเก็บภาษีในอัตรา 36% เป็นกรณีที่แย่สุด (Worst case) กดดัน EPS ลดลงอยู่ที่ 73 บาทต่อหุ้น และกระทบ GDP ปี 68 ให้ลดลงมาอยู่ที่ 0.9% ประกอบกับ การเมืองในประเทศที่ไม่แน่นอนกระทบกับงบประมาณปี 69 ล่าช้าไป 6 เดือน ประเมิน Downside หุ้นไทย ที่กรอบ 980-1,030 จุด เป็นระดับที่ตลาด Price in ผลกระทบจากสงครามการค้าไปแล้ว ซึ่งมองว่าเป็นจังหวะในการทยอยสะสมหุ้นไทยได้
นายพิริยพล ยังกล่าวว่า ช่วงนี้โอกาสที่ SET ยังปรับขึ้นมาน้อยมาก เนื่องจากปัจจัยลบรอบด้าน โดยเฉพาะในไตรมาส 3/68 ที่จะเริ่มเห็นผลกระทบจากการมาตรการภาษีการค้าของทรัมป์อย่างชัดเจน เนื่องจากก่อนเก็บภาษีมีการเร่งตุนสินค้า แต่เมื่อมีการประกาศอัตราภาษีออกมาแล้วจะทำให้การตุนสินค้าหายไป ประกอบกับ สงครามตะวันออกกลาง แม้ว่าปัจจุบันอยู่ในช่วงของการเจรจา แต่ยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิด นอกจากนี้ สหรัฐยังมีประเด็นการพิจารณางบประมาณปี 69 โดยนักลงทุนกังวลว่าสหรัฐฯ ขาดดุลการคลังสูงมากและงบครั้งนี้อาจเพิ่มหนี้เข้าไปอีก จะทำให้กดดันบรรยากาศการลงทุน
ขณะที่ประเด็นความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา มองว่ากระทบกับเศรษฐกิจไทยไม่มาก เนื่องจากสัดส่วนการส่งออกไปกัมพูชา คิดเป็นราว 3% ของการส่งออกทั้งหมดของไทย ผลกระทบต่อกำไรหุ้นไทยค่อนข้างจำกัดเช่นกัน
นายพิริยพล มองว่า ตลาดหุ้นไทยจะฟื้นตัวช่วงปลายไตรมาส 3 - ต้นไตรมาส 4/68 เนื่องจากปัจจัยกดดันภายนอกทั้งหมดน่าจะจบได้ภายในไตรมาส 3/68 หนุนให้เศรษฐกิจโลกดีขึ้น และอาจเห็นธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยได้
แม้ปัจจัยในประเทศยังมีความไม่แน่นอนมาก ทั้งหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง การท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวช้า กำไรบริษัทจดทะเบียนยังถูกปรับลดลงต่อเนื่อง และการเมืองยังไม่นิ่ง ซึ่งยัง Overhang ต่อ แต่ข้อดีคือตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงมามากแล้ว และสามารถหลีกเลี่ยงไปลงทุนในกลุ่มที่ได้รับผลกระทบน้อยได้
อย่างไรก็ตาม แนะนำลงทุนระยะสั้นไม่ถือยาว โดยดัชนี SET ลงมาใกล้ระดับ 1,000 จุดเป็นจังหวะสะสม หากปรับตัวขึ้น 1,100 จุดแนะนำทยอยขาย เนื่องจากมองว่าหุ้นไทยอัพไซด์ยังจำกัด ขณะที่ Fund Flow จะกลับมาเมื่อใดนั้นขึ้นอยู่กับตัวแปร 2 ประเด็น ได้แก่ นโยบายภาษีของทรัมป์ และการเมืองในประเทศ
"หนี้ครัวเรือนตอนนี้เกิน 80% ในสายตานักเศรษฐศาสตร์เป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง ซึ่งต้องใช้เวลามากกว่า 2 ปีกว่าหนี้ตรงนี้จะหายไป สิ่งที่จะมาช่วยคือถ้าโลกฟื้น จะมาช่วยการส่งออกเราให้ฟื้นด้วย แต่เรายังมีปัญหาสวมสิทธิอยู่ อาจได้ประโยชน์ไม่เต็มที่"
นอกจากนี้ ไตรมาส 4/68 ยังเป็นช่วง High season ของการท่องเที่ยวไทย คาดหวังว่านักท่องเที่ยวจะกลับเข้ามามากขึ้น แต่มองว่านักท่องเที่ยวจีนอาจจะยังไม่กลับมา ซึ่งภาครัฐต้องมีมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวอย่างจริงจัง เพื่อดึงดูดความเชื่อมั่น
จากการคาดการณ์ตลาดหุ้นไทยจะฟื้นตัวในไตรมาส 4/68 ตามเศรษฐกิจโลก ทำให้หุ้นในกลุ่มที่เชื่อมโยงกับเศรษฐกิจโลกอาจจะดี โดยเฉพาะกลุ่ม Global play จะเป็นผู้นำเมื่อการฟื้นตัวเศรษฐกิจโลกเริ่มชัดเจน ปัจจัยเสี่ยงคลี่คลาย ขณะที่กลุ่ม Domestic play อาจฟื้นช้ากว่าแม้ราคาถูกแล้ว แต่หากการเมืองยังไม่คลี่คลายอาจกดดันให้งบประมาณล่าช้า