Bank for International Settlements (BIS) หรือ “ธนาคารเพื่อการชำระบัญชีระหว่างประเทศ” ออกโรงเตือนภัย "Stablecoin" อาจเป็นอันตรายระเบิดเวลาทำลาย "อำนาจอธิปไตยทางการเงิน" และ "เสถียรภาพเศรษฐกิจ" ของประเทศต่าง ๆ พร้อมเร่งเครื่องให้แบงก์ชาติทั่วโลกเร่งพัฒนา CBDC เพื่อ “แปลงเงินเป็นโทเคน” โดยด่วน หวั่นปม “ความโปร่งใส” และ “เงินสำรอง” ของ Stablecoin คือหลุมดำทางการเงินในอนาคต
วงการการเงินโลกกลับมาสะเทือนอีกครั้ง เมื่อ Bank for International Settlements (BIS) หรือที่หลายคนขนานนามว่าเป็น "ธนาคารเพื่อการชำระบัญชีระหว่างประเทศ" ได้ออกคำเตือนที่ "รุนแรงที่สุดเท่าที่เคยมีมา" เกี่ยวกับความเสี่ยงที่เกิดจาก Stablecoin โดยได้เรียกร้องให้ประเทศต่างๆ ทั่วโลกเร่งดำเนินการพัฒนา CBDC หรือ "Tokenisation" สกุลเงินของตนอย่างรวดเร็ว เพื่อรับมือกับภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้นต่ออำนาจอธิปไตยทางการเงินและเสถียรภาพของระบบการเงินโลก
รายงานล่าสุดจาก BIS ชี้ชัดว่า แม้ Stablecoin จะมีบทบาทสำคัญในการเชื่อมโลกคริปโต ฯ กับโลกการเงินดั้งเดิม แต่ก็มีความเสี่ยงแฝงที่น่ากังวล โดยเฉพาะประเด็นเรื่อง "ความโปร่งใส" และ "คุณภาพของการสำรองสินทรัพย์"
ล่าสุดนาง แอนเดรีย แมชเลอร์ รองผู้จัดการทั่วไปของ BIS กล่าวว่า "คำถามเรื่องการเปิดเผยข้อมูลนี่แหละคือจุดที่ Stablecoin บางสกุลแตกต่างออกไป คุณจะต้องมีคำถามเสมอเกี่ยวกับคุณภาพของการสำรองสินทรัพย์ ว่าเงินอยู่ที่นั่นจริงหรือไม่? และอยู่ที่ไหน?" คำกล่าวนี้ตอกย้ำความกังวลว่า Stablecoin หลายตัวอาจไม่ได้มีสินทรัพย์หนุนหลังครบถ้วน 100% หรือการเปิดเผยข้อมูลยังไม่เพียงพอที่จะสร้างความเชื่อมั่นอย่างแท้จริง
ทั้งนี้ BIS มองว่าหากสถานการณ์ยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไป Stablecoin ที่ไม่มีการกำกับดูแลที่รัดกุม อาจกลายเป็นช่องโหว่สำคัญที่นำไปสู่ความผันผวนและความไม่มั่นคงในระบบการเงินโลกได้ เนื่องจากตลาด Stablecoin ที่มีมูลค่ามหาศาลกว่า 260,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ กำลังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง และความเสี่ยงเหล่านี้อาจลุกลามจนเกินควบคุมได้
ด้วยเหตุนี้ BIS จึงผลักดันให้ธนาคารกลางต่างๆ ทั่วโลก "ลงมืออย่างกล้าหาญ" โดยเสนอแนวคิดการ "Tokenised Unified Ledger" ซึ่งเป็นระบบบัญชีแบบรวมศูนย์ที่ใช้เทคโนโลยีโทเคน ซึ่งจะรวมเงินสำรองของธนาคารกลาง เงินฝากของธนาคารพาณิชย์ และพันธบัตรรัฐบาลเข้าไว้ด้วยกัน
ขณะที่นายออกุสติน คาร์สเตนส์ หัวหน้า BIS ที่กำลังจะพ้นตำแหน่ง กล่าวเน้นย้ำว่า "การตระหนักถึงศักยภาพสูงสุดของระบบนี้จำเป็นต้องมีการลงมือทำอย่างกล้าหาญ" ซึ่งแสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ที่ต้องการให้ธนาคารกลางมีบทบาทเชิงรุกในการกำหนดอนาคตของสกุลเงินดิจิทัล
อย่างไรก็ดีการผลักดันนี้ยังสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงนโยบายสกุลเงินดิจิทัลเชิงรุกของ BIS เพื่อรับมือกับการเติบโตของตลาด Stablecoin และเป็นการส่งสัญญาณเตือนไปยังประเทศต่างๆ ว่าถึงเวลาแล้วที่จะต้องพิจารณาการสร้าง CBDC นำเงินสกุลประจำชาติมา "Tokenise" และสร้างกรอบการกำกับดูแลที่แข็งแกร่ง เพื่อปกป้องเสถียรภาพทางการเงินของตนเอง ก่อนที่ Stablecoin บางสกุลที่ขาดความโปร่งใส จะสร้างหายนะให้กับระบบเศรษฐกิจได้อย่างที่ไม่คาดคิด