xs
xsm
sm
md
lg

ชะตาพลิกผัน...เศรษฐี 3 หมื่นล้านถูกบังคับขายหุ้น / สุนันท์ ศรีจันทรา

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



คงไม่มีใครคาดคิดว่า “มงคล ประกิตชัยวัฒนา” นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในตลาดหุ้น ร่ำรวยจากหุ้น บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTC กว่า 30,000 ล้านบาท แต่สุดท้ายถูกบังคับขายหุ้นหรือ FORCE SELL จนหุ้นบริษัทจดทะเบียน 4 แห่งที่ถือไว้ ทรุดลงติดพื้นถึง 2 วันติด

นายมงคลจัดอยู่ในกลุ่มนักลงทุนหุ้นมูลค่าเพิ่มหรือ V.I. โดยลงทุนตั้งแต่เรียนอยู่ในวัยมัธยม โดยเริ่มต้นขอเงินลงทุนจากคุณพ่อคุณแม่ แต่ไม่ประสบความสำเร็จจากการลงทุนมากนัก

กระทั่งประมาณปี 2555 เริ่มเก็บสะสมหุ้น KTC พร้อมหุ้นอื่นอีกหลายบริษัท รวมทั้งหุ้นบริษัท บิวตี้ คอมมูนิตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ BEAUTY ซึ่งราคาร่วงจาก 23 บาทเศษ เหลือเพียง 20 สตางค์เศษ เพียงแต่นายมงคลไม่ได้ให้น้ำหนักลงทุนในหุ้น BEAUTY เท่าไหร่ จึงไม่เจ็บจากหุ้นตัวนี้มากนัก

เงินลงทุนส่วนใหญ่ นายมงคลทุ่มใส่หุ้น KTC เก็บสะสมในราคาเฉลี่ยประมาณ 3 บาท โดยเคยมียอดหุ้นที่ซื้อไว้สูงสุดรวมประมาณ 420 ล้านหุ้น หรือสัดส่วนประมาณเกือบ 17% ของทุนจดทะเบียน เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับสองรองจากธนาคารกรุงไทย ซึ่งถือหุ้นในสัดส่วน 49.29% ของทุนจดทะเบียน

นายมงคลกอดหุ้น KTC อย่างเหนียวแน่น รักษาสัดส่วนการถือหุ้นประมาณ 16% ของทุนจดทะเบียนนานกว่า 10 ปี โดยปิดสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นเดือนพฤษภาคม 2563 นายมงคลมีหุ้น KTC อยู่ 388.66 ล้านหุ้นหรือ 15.07% ของทุนจดทะเบียน

ประมาณต้นมกราคมปี 2564 ราคาหุ้น KTC พุ่งทะยานสู่จุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 90.25 บาท ซึ่งคำนวณมูลค่าหุ้นที่นายมงคลถืออยู่ เป็นเงินจำนวนประมาณ 35,076.56 ล้านบาท ถ้านายมงคลขายหุ้นทั้งหมด จะมีกำไรประมาณ 33,000 ล้านบาท และเป็นนักลงทุนที่โกยเงินจากตลาดหุ้นมากที่สุด เหนือกว่านักลงทุนรายใด ๆ รวมทั้ง ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

แต่นายมงคลไม่ยอมขายหุ้น KTC ทิ้ง เพียงแต่ตัดขายหุ้นจำนวน 4.86% ของทุนจดทะเบียน ให้กองทุนต่างชาติ ได้เงินมากว่า 8.1 พันล้านบาท เมื่อกลางเดือนกุมภาพันธ์ 2564 และเหลือหุ้นอยู่ 10.25% ของทุนจดทะเบียน ซึ่งต่อมาทยอยซื้อเพิ่ม จนปิดสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นล่าสุด เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2568 ปรากฏชื่อนายมงคลถือหุ้นในสัดส่วน 12.70%

นายมงคลเป็นนักลงทุนมหาเศรษฐีที่ไม่ชอบเปิดเผยตัวต่อสาธารณชน แต่ตกเป็นข่าวโด่งดัง เมื่อถูกบังคับขายหุ้น KTC เมื่อวันจันทร์ที่ 23 มิถุนายนที่ผ่านมา จนราคาร่วงติดฟลอร์ 2 วันซ้อน พร้อมหุ้นอีก 3 บริษัทที่นายมงคลถือหุ้นใหญ่

ประกอบด้วย หุ้นบริษัท เอ็กซ์สปริง แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ XPG หุ้นบริษัท บีอีซี เวิลด์ จำกัด (มหาชน) หรือ BEC และหุ้น บริษัท เดอะแทรคทิเคิลโซลูชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TPS

ใครจะไปนึกว่า นักลงทุนอย่างนายมงคล จะใช้มาร์จิ้น เพราะเป็นมหาเศรษฐีหุ้น เพิ่งขายหุ้น KTC ได้เงินมากว่า 8.1 พันล้านบาท แต่ภายในเวลา 4 ปีเงินหายไปไหน จึงตกอยู่ในภาวะจนตรอก ไม่มีหลักทรัพย์ไปวางค้ำประกันวงเงินสินเชื่อเพื่อซื้อหุ้นหรือมาร์จิ้นเพิ่ม จนถูกบังคับขายหุ้น

นักลงทุนจำนวนไม่น้อยตั้งข้อสงสัยว่า ทำไมนายมงคล ไม่ขายหุ้น KTC ออกทั้งหมด เมื่อ 4 ปีก่อน และขนเงิน 3.5 หมื่นล้านบาทเดินออกจากตลาดหุ้น

ทำไมรวยเป็นมหาเศรษฐีแล้วไม่เลิกเล่นหุ้น

ถ้าหยั่งรู้อนาคตได้ ถ้ารู้อย่างนี้ นายมงคลคงล้างมือจากอ่างทองคำไปแล้ว แต่เพราะไม่มีใครรู้ชะตากรรมตัวเอง

นายมงคลจึงเดินหน้าลงทุนหุ้นต่อ พกความมั่นใจ จากความสำเร็จหุ้น KTC โดยคาดหวังว่า จะโกยเงินจากตลาดหุ้นเพิ่มขึ้นอีก และอาจฝันถึงความร่ำรวยระดับแสนล้านบาท

เงินที่ได้จากการขายหุ้น KTC ส่วนหนึ่งถูกนำกลับไปซื้อหุ้น KTC คืน ส่วนหนึ่งนำไปลงทุนหุ้นตัวอื่น ๆ แต่หุ้นตกต่ำต่อเนื่องมา 3 ปี นักลงทุนทั้งรายย่อยและรายย่อย ขาดทุนยับเยิน ไม่เว้นแม้แต่นายมงคล

ไม่อาจคาดหมายถึงวงเงินลงทุนของนายมงคลล่าสุดว่า เหลือสักเท่าไหร่ ถึงหมื่นล้านบาทหรือไม่ เช่นเดียวกับหุ้น KTC ซึ่งอาจถืออยู่ไม่ถึง 12% ของทุนจดทะเบียนแล้ว

ตัวเลขกำไรจากหุ้นที่เคยพุ่งขึ้นสูงสุดประมาณ 3.3 หมื่นล้านบาท อาจเหลือไม่ถึง 1 หมื่นล้านบาทก็ได้

วันนี้นายมงคลถูกวิพากษ์ รวยแล้วไม่ยอมเลิก แต่มีนักลงทุน V.I. อีกคนที่ต้องพิจารณาเปรียบเทียบ

ดร.นิเวศน์เริ่มลงทุนหุ้นในปี 2541 ด้วยทุน 10 ล้านบาท โดยซื้อหุ้นถูกตัว กำไรมา 10 เด้ง จาก 10 ล้าน พุ่งขึ้นเป็น 100 ล้านบาท ภายในเวลาไม่กี่ปี และเงิน 100 ล้านบาท ซื้อหุ้นถูกตัวอีก กำไร 10 เด้ง จากพอร์ต 10 ล้านบาท ขยับขึ้นมาเป็น 1,000 ล้านบาท ภายในเวลาประมาณ 10 ปี

ถ้าหยุดลงทุนในวันนั้น รวยแล้วเลิก หอบเงินพันล้านบาทออกจากตลาดหุ้น ดร.นิเวศน์คงไม่มีวันนี้ วันที่พอร์ตเติบใหญ่ระดับ 1 หมื่นล้านบาท

ชะตากรรมที่พลิกผันของนายมงคลกับความรุ่งโรจน์ที่ยั่งยืนของดร.นิเวศน์ เป็นกรณีศึกษา ที่นักลงทุนควรนำไปพิจารณาเพื่อตระหนักถึงการลงทุนในตลาดหุ้น

เพราะทุกอย่างไม่มีความแน่นอน ความสำเร็จ อาจนำพาไปสู่ความล้มเหลวได้ และไม่มีใครหยั่งรู้อนาคต

ตลาดหุ้นเนรมิตให้ “ยาจก” เป็นเศรษฐีได้ แต่ตลาดหุ้นก็เสกเป่าให้เศรษฐีเป็น ”ยาจก” ได้เช่นกัน








กำลังโหลดความคิดเห็น